“ศรีสุวรรณ” ร้อง กสม.สอบก้าวไกล ปมให้เด็กขึ้นเวทีปราศรัย เข้าข่ายละเมิดสิทธิ ซัด NGO หัวหงอกเงียบกริบ พ่วงยื่น กกต.สอบโพสต์ปลุกชุมนุมกดดันโหวต “พิธา” นั่งนายกฯ “ทนายอั๋น” ปรี่ถามยื่นอะไรอีก “ลุงศักดิ์” หน้าแหก ชี้หน้าตำรวจซุ่มถ่ายรูปก่อนรู้ตัวทักผิดคน
วันนี้ (13 ก.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดินเข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอให้ตรวจสอบพรรคก้าวไกล กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกรณีการจัดเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน และฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายกฯ ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพิธีกรที่เป็นนักแสดงและ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล เป็นแม่งาน ซึ่งในช่วงหนึ่งของการปราศรัยมีการนำเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ 2 คนได้ขึ้นเวทีสัมภาษณ์โดยให้กล่าวความในใจถึงนายกฯ พิธา กับการให้พูด hate speech ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมและการเมืองอันอาจส่งผลต่อเด็กและเยาวชน ตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยมีกองเชียร์คอยส่งเสียงเป็นกำลังใจอยู่ด้านล่าง จนนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างมากว่าอาจไม่เหมาะสม
กรณีดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 2546 มาตรา 26 และ มาตรา 27 ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสริมหรือยินยอมหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก และห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครอง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ หากฝ่าฝืนอาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนั้น การนำเด็กมาขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมือง ยังขัดต่อหลักการสากลว่าด้วยสิทธิเด็กที่องค์กรสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญกับหลักการ “กันเด็กออกจากการเมือง” และ “เด็กต้องได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์กับเด็กในทุกรูปแบบจากรัฐ” โดยหลักการอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2532 ที่ประเทศไทยได้ลงนามภาคยานุวัติรับรอง เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2535 ไว้แล้วด้วย
“กรณีดังกล่าว เกิดขึ้นมาหลายวันแล้วแต่ทว่านักสิทธิเด็ก ป้าๆ หัวหงอก หัวขาวทั้งหลาย หรือเอ็นจีโอด้านเด็กยังไม่ได้ออกมาทำอะไรในการปกป้องเด็กๆ เหล่านั้น หรือกลัวว่าหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อของตน โดยเฉพาะ กสม. ที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องดังกล่าวโดยตรง องค์กรรักชาติ รักแผ่นดินจึงไม่อาจปล่อยให้เรื่องดังกล่าวผ่านไปได้ จึงนำความมาร้องให้ กสม.ทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในวันนี้”
วันเดียวกันนี้ นายศรีสุวรรณ ยังได้มายื่นหนังสือถึง กกต.ให้ตรวจสอบการกระทำของพรรคก้าวไกล เนื่องจากเพจของพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนประชาชนมาชุมนุม ซึ่งอาจจะเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 45 ซึ่งห้ามไม่ให้พรรคการเมืองดำเนินการในลักษณะที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ควรดำเนินการยั่วยุ หรือเชื้อเชิญให้ประชาชนออกมาจัดการชุมนุม ซึ่งอาจจะนำไปสู่การทำผิดกฎหมายอาญามากมาย ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น มาตรา 115 และ มาตรา 113 และอาจจะมีการก้าวล่วงกระทบกระเทียบไปถึงสถาบันซึ่งเคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ในทุกการชุมนุม
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ที่พรรคการเมืองไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย การที่สมาชิกรัฐสภาจะใช้สิทธิเลือกนายกฯ ก็เป็นสิทธิโดยชอบ ที่ประชาชนสามารถเฝ้าติดตามภายในเคหะสถาน หรือที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปรวมตัวกันชุมนุมที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น โรงเรียนราชินีบน ซึ่งอยู่ข้างรัฐสภา ต้องหยุดเรียน 1 วัน กระทบการสัญจร โดยเฉพาะถนนสามเสน ที่ต้องปิดการจราจร พนักงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขนอุปกรณ์ไปป้องกันการชุมนุมจำนวนมาก เป็นต้น ทั้งนี้ พรรคการเมืองควรที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีในสังคม ไม่ควรเป็นคนเริ่มต้นในการทำกิจกรรมในลักษณะนี้ จึงต้อง กกต.ให้ตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายศรีสุวรรณได้ยื่นหนังสือต่อ กกต.แล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ลุงศักดิ์ เดินทางมายื่นเรื่องขอให้ กกต.เปิดเผยสำนวนและข้อมูลหลักฐานที่ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล โดยทันทีที่นายภัทรพงศ์ และลุงศักดิ์ ทราบว่า นายศรีสุวรรณกำลังยื่นหนังสือ ก็ปรี่เข้าไปในห้องรับเรื่องร้องเรียน จากนั้น นายภัทรพงศ์ ได้สอบถามนายศรีสุวรรณ ว่า “มายื่นเรื่องอะไร สังคมยังวุ่นวายไม่พอหรืออย่างไร ต้องการให้เกิดความวุ่นวายมากกว่านี้” ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลภายในสำนักงาน กกต.ต้องเข้าไปกันทั้งคู่ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ส่วนนายศรีสุวรรณไม่ได้มีการตอบโต้อะไร และเดินหนีทันที
ขณะที่ วีรวิทย์ ก็เดินปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ติดตามนายศรีสุวรรณ พร้อมสอบถามว่า “ลบรูปผมออกหรือยัง ในวันที่นั่งรอทนายอั๋น” ซึ่งวันที่นายวีรวิทย์หมายถึงคือวันที่ 30 มิ.ย.ที่มายื่นหนังสือต่อ กกต. แล้วถูกผู้ติดตามนายศรีสุวรรณถ่ายภาพบรรยากาศในวันดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถอดหน้ากากออกกลับพบว่าตัวเองเข้าใจผิดจึงยิ้มเขิน รีบขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวเนื่องจากตนเองจำผิด