“ทนายอั๋น” บุก กกต. อัดประชุมชี้ชะตา “พิธา” ผิด กม.เหตุไม่เรียกแจงก่อน เปรียบไม่ต่างละครน้ำเน่าหลังสองทุ่ม ยัดข้อหา-ห้องขัง เสี่ยงผิด ม.157 อ้างวงในก้าวไกลได้เสียง ส.ว.เกิน ถึงทำวิธีนี้ โวพร้อมจัดการ “เรืองไกร-เสรี”
วันนี้ (10 ก.ค.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. กรณีจะพิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส.ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล หลังช่วงเช้าได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เพื่อให้ควบคุมกำกับดูแลพฤติกรรมของ ส.ว. ว่า ควรอยู่ที่สภา แถวเกียกกาย ไม่ควรมาอยู่แถว กกต. หรือกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่อาจผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ทำให้สมาชิกภาพต้องสิ้นสุดลง และหากประธานวุฒิสมาชิกไม่สามารถควบคุมได้ ก็ขอให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานรัฐสภา ควบคุมแทน
ทั้งนี้ นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า พยายามหาข้อมูลเรื่องหุ้นสื่อของนายพิธา ว่าไปถึงไหน และเพิ่งทราบจากการออกหนังสือของนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ว่า ยังไม่มีหนังสือไปถึงนายพิธา ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาให้มาชี้แจง ซึ่งข้อมูลของ กกต. ตอนนี้ มีแค่ในส่วนของที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. และนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. มายื่นเท่านั้น และบุคคลเหล่านี้ ก็เป็นคนที่อยู่ตรงข้ามนายพิธาทั้งหมด กกต. จะมาประชุม เพื่อส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถือเป็นความผิดเพี้ยนของรูปแบบไปหมด ขนาด อบต. แถวบ้านนอก ทำผิด กกต. จังหวัด ยังเรียก มาชี้แจงเอาข้อเท็จจริงทั้ง 2 ส่วน แต่คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนติดตามระดับประเทศ ใหญ่ที่สุดเท่าที่ กกต. เคยทำมา แต่กลับทำผิดขั้นตอนและวิธีการ สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฏหมาย มาตรา 157
“ถ้าผมเป็นทนายของนายพิธา และถ้าได้รับมอบหมายจากพรรคก้าวไกล จะจัดการเรียงตัว ผมพร้อมจะชนทุกตัว ทุกคน ไม่ปล่อยไว้แบบนี้หรอก”
นายภัทรพงศ์ ยังประกาศว่า จะไม่ปล่อย นายเรืองไกร ที่มีพฤติกรรมขัดแล้วธรรมนูญมาตรา 143 และ นาย เสรี ส.ว.ที่มีพฤติกรรมขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 โดยเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ทำให้สมาชิกภาพต้องสิ้นสุด ซึ่งเมื่อใดที่ กกต. ส่งเรื่องนี้ถึงศาลรัฐธรรมนูญ จะติดตามเรื่องนี้ให้ตีคู่กันไปเลย
“กกต. ไม่มีสิทธิแม้แต่จะประชุม การประชุมก็ไม่ถูกแล้ว ประชุมได้อย่างไรไม่มีกฎหมายไม่มีระเบียบ ไม่มีอำนาจให้คุณไปส่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับละครไทยน้ำเน่าหลังสองทุ่ม ที่พนักงานสอบสวน แจ้งยัดข้อกล่าวหา ใครจะพูดก็ปิดปากเขาไว้ ยัดเขาส่งห้องขัง แบบนั้นเลย”
นายภัทรพงศ์ ยังท้า ส.ว. มาดีเบต ผ่านรายการไหนก็ได้ เชื่อว่า ส.ว. และ นายเรืองไกร และ ทนายษิทรา ก็ไม่กล้า
นอกจากนี้ ตนยังมาตามในส่วนที่ขอเข้าพบประธาน กกต. ที่ไม่ยอมให้ตนเข้าพบ แต่กลับให้ ส.ว. เข้าพบ เข้าใจว่า ตนเป็นทนายบ้านนอก แต่ประธาน กกต. อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเทวดา คุณก็แค่ข้าราชการ ขี้ข้ารับใช้ประชาชน และวันนี้เห็นว่ามีประชุมอยู่ที่นี่ตนก็จะขอเข้าพบ ดูสิว่าจะให้พบไหม พร้อมยืนยันว่าตนมาส่วนตัว ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
นายภัทรพงศ์ ยังระบุว่า ได้ข่าววงใน ว่า เสียง ส.ว. ที่พรรคก้าวไกลดีลไว้ เกินแล้ว นี่อาจจะเป็นเหตุผล ที่จะใช้วิธีกลไกแบบปี 62 ให้ศาลรัฐธรรมนูญจัดการ ซึ่งวิธีการนี้มันกระจอก ทำไมไม่ทำตั้งแต่เนิ่นๆ มาทำตอนที่จะโหวตนายกรัฐมนตรี กกต. กับ ส.ว. ไม่รู้ใครโง่กว่ากัน ถ่วงกันไปมา
“เรื่องนี้ใครๆ ก็มองว่า มันเกินกว่าความผิดปกติ เป็นเรื่องที่บังอาจกล้ากระทำอย่างห้าวหาญ ไม่ต่างกับการปล้นกลางวันแสกแสก บุกข่มขืนเจ้าทุกข์” นายภัทรพงศ์ กล่าวและว่า เชื่อว่า เมื่อส่งไปศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อาจจะยังไม่วินิจฉัยทันที แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ คำขอพ่วงให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หมายความว่า นายพิธาจะไม่ถูกเสนอชื่อให้โหวตเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกรณีของนายธนาธร แต่เชื่อว่า กกต.ไม่กล้า เพราะคนที่สนับสนุนนายพิธาท่วมท้น