เวทีเสวนา “ออกจากกะลาไปหา รธน.ใหม่” นักวิชาการ-นักเคลื่อนไหวการเมือง อัด รธน.60 ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ขาดการยึดโยง ปชช. เห็นพ้องต้องร่างฉบับใหม่ ชี้ หัวใจสำคัญสร้างความเปลี่ยนแปลง
วันนี้ (8 ก.ค.) ที่ห้องอเนกประสงค์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ จัดเสวนาหัวข้อ “ออกจากกะลาไปหารัฐธรรมนูญใหม่”
วิทยากร ประกอบด้วย นายมุนินทร์ พงศาปาน อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสามชาย ศรีสันต์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.ณัฐพร อาจหาญ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน และนายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักกิจกรรม และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
นายมุนินทร์ กล่าวว่า วาระสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ การแก้รัฐธรรมนูญ หากรัฐธรรมนูญไม่เปลี่ยนจะไม่เกิดการปฏิรูปใดๆ สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยต้องทำให้สำเร็จ ขณะที่เราต้องพยายามเรียกร้องให้นักการเมืองที่เราเลือกได้ทำตามพันธสัญญา
ทั้งนี้ ปัญหารัฐธรรมนูญ 60 ที่ชัดเจนที่สุด คือ เราเลือกตั้งมีเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งจำนวนมาก แต่สุดท้ายประชาชนต้องมาลุ้นกันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี จนเกิดคำถามว่า ทำไมประชาชนที่ใช้สิทธิแสดงเจตจำนงชัดเจนแล้ว ยังไม่สามารถได้รัฐบาลมาง่ายๆ เพื่อบริหารราชการแผนดินในระบบแบบที่ควรจะเป็น ซึ่งกฎหมายต่อให้เขียนดีอย่างไร แต่หากขาดความชอบธรรมในที่มาก็จะทำให้กฎหมายนั้นขาดความชอบธรรม
“รัฐธรรมนูญ 60 มีความซับซ้อนที่สุด เป็นความซับซ้อนในแง่ลบ เปรียบเป็นวรรณกรรมที่คนร่างสมควรได้รับรางวัลอย่างมาก ที่พยายามสร้างกลไกรักษาอำนาจได้ยาวนานที่สุด เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การให้อำนาจ ส.ว.ที่มากเกินไป รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นอุปสรรค ต่อการแสดงเจตจำนงของประชาชนจากคนเพียงไม่กี่คน
แต่หลายครั้งกลไกที่เขาวางไว้ก็เกิดปัญหาเอง ฉะนั้น เราต้องสนับสนุนให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อทำลายกลไกเหล่านั้นให้สิ้นซาก ให้การเมืองเดินไปได้ด้วยเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง” นายมุนินทร์ กล่าว
นายมุนินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตนไม่อยากเรียกว่า นิติสงคราม เพราะเป็นการกระทำจากฝ่ายเดียว โดยที่ประชาชนถูกกระทำอยู่ตลอด มีการใช้อาวุธทางกฎหมายทำลายเจตนารมณ์ของประชาชนทุกครั้ง ปัญหาที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยรับรู้ถึงความไม่พอใจของประชาชน
ส่วนเนติบริกรทั้งหลายตนไม่แน่ใจว่ารับรู้ถึงความรู้สึกประชาชนมากแค่ไหน สิ่งที่เขาทำหรือตัดสินดูเหมือนไม่สนใจความรู้สึกของคนในสังคมเลย แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงของประชาชนมากที่สุด ทำให้เชื่อว่าองคาพยพเหล่านั้นได้รับรู้ถึงเจตจำนงของประชาชนแล้ว
นายสามชาย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทั่วโลกมีปัญหาอย่างหนึ่ง คือ ส่งเสริมให้อำนาจรัฐขยายตัวมากขึ้น แต่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งในประเทศไทยรัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาแบบนั้น มีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากรัฐธรรมนูญ 60 จำนวนมาก อาทิ กลุ่มเกษตกรรายย่อย กลุ่มแรงงาน กลุ่มชาติพันธุ์ นักศึกษา ผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบชายแดนภาคใต้ กลุ่มนักกิจกรรมต่างๆ และกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 60 ยังเป็นรัฐธรรมนูญปราบฝ่ายตรงข้าม กำกับควบคุมประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง
น.ส.ณัฐพร กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 40 มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน ทำให้มีคำว่า “ประชาชน” อยู่ในรัฐธรรมนูญเต็มไปหมด มีความยึดโยงสิทธิเสรีภาพประชาชนสูงมาก จึงไม่แปลกที่รัฐธรรมนูญ 60 จะเต็มไปด้วยว่าคำว่าบทบาทอำนาจของรัฐ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญในตอนนั้น มีแต่กลุ่มชนชั้นนำ และนายทุน ส่งต่อสิ่งต่างๆ มาอยู่ในรัฐธรรมนูญ 60 และยุทธศาสตร์ชาติเต็มไปหมด
ซึ่งมีผลต่อแนวนโยบายของรัฐทั้งหมด เพราะคนเขียนไม่ได้มาจากประชาชน เกิดการผูดขาดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นอกจากนี้ ยังเกิดการคุกคามของฝ่ายความมั่นคง และการเติบโตของ กอ.รมน. ซึ่งมีบทบาทมากขึ้นในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในทุกมิติ
เราจึงไม่สามารถปฏิเสธถึงที่มา และความไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 60 ได้ จึงเห็นว่า ควรต้องมีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะหลายมาตราปิดกั้นลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และการดำรงชีวิตของประชาชน ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญร่วมกัน
ขณะที่ นายจตุภัทร กล่าวว่า ตนคิดว่า ใจความสำคัญของรัฐธรรมนูญคือชนชั้นใดออกกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น ปัญหาของรัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้น เพราะการร่างไม่ได้คำนึงถึงประชาชน ส่วนขณะนี้ปัญหาที่เห็นชัดเจนคือการเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนเลือกแล้วว่าจะให้ใครบริหารประเทศ เจตจำนงของประชาชนจบแล้วตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 66
“ไม่ใช่ชัยชนะของพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย แต่เป็นชัยชนะของประชาชน เป็นชัยชนะของ 24 ล้านเสียง ซึ่งทุกคนอยากเห็น พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค อย่าหลงกลเขาในเกมนี้ อย่าทะเลาะกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตหรือส.ว.จะโหวตสวน ขอให้ยึดประชาชนเป็นจุดร่วม ทั้ง 8 พรรคต้องจับมือกันให้แน่นปกป้องเจตนารมณ์ของประชาชน” นายจตุภัทร กล่าว