xs
xsm
sm
md
lg

“สมชาย” โฟกัส “ศาล รธน.” ปม “พิธา-ก้าวไกล” หาเสียงแก้ 112 “อานนท์” ชี้ “ปธ.สภา” โยงผู้นำเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายสมชาย แสวงการ จากแฟ้ม
“ส.ว.สมชาย” ยก กรณีศาล รธน.สอบถามความคืบหน้าอัยการสูงสุด ปม พิธา-ก้าวไกล หาเสียงแก้ 112 ชี้ สำคัญยิ่ง ถ้าย้อนดูคดีล้มล้างการปกครอง “อานนท์” ลั่น “ก้าวไกล” ต้องยึด “ปธ.สภา” เพื่อแก้ไขโครงสร้างอำนาจ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 มิ.ย. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นทางข้อกฎหมาย ว่า

“ทำไมคำร้องที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญเรื่องมาตรา 112 และศาลรัฐธรรมนูญได้สอบถามความคืบหน้าจากอัยการสูงสุด จึงสำคัญยิ่ง!

เมื่ออ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 วันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน 2564 ฉบับเต็มในคดีที่ นายณฐพร โตประยูร ร้องขอให้วินิจฉัยว่า การชุมนุมและปราศรัยของผู้ชุมนุม 8 คน ได้แก่ อานนท์ นําภา, ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก, รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, อั๋ว-จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อาทิตยา พรพรม เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเฉพาะการกระทำในการชุมนุมปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ของอานนท์, ไมค์-ภาณุพงศ์ และ รุ้ง-ปนัสยา เรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม คือ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย

ดังนั้น การที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลนำประเด็นเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือการที่จะให้มี ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทุกหมวด ไปใช้ในการหาเสียงตามที่นายธีรยุทธ ร้องต่ออัยการสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญนั้น

จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยห้ามบุคคลในเครือข่ายการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามมาตรา 49 วรรค 1”

ภาพ นายอานนท์ นำภา จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และแกนนำม็อบ 3 นิ้ว ผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

“ถ้าก้าวไกลถอยเรื่องการแก้ไขโครงสร้างอำนาจของสถาบันการเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองอื่นๆ เลือกตั้งครั้งหน้าก็เตรียมสูญพันธุ์เช่นกัน

การจะแก้ไขโครงสร้างอำนาจมันก็ต้องทำในสภา ถ้าไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ก็ยากที่จะทำได้ สักพักไปเจอการเตะถ่วงร่างกฎหมาย การเบรกไม่ให้อภิปราย ทุกอย่างก็จบ

ถ้าเพื่อไทยเห็นจุดนี้และอยากร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ก็ควรถอยเรื่องประธานสภา ให้ก้าวไกลเป็นหัวหอกเรื่องนี้ โดยมีเพื่อไทยเป็นกองหนุนและทำงานด้านปากท้องแบบที่เพื่อไทยอ้างว่าถนัดและทำเป็น แบบนี้สังคมจะได้ประโยชน์กว่า

เว้นเสียแต่ว่า เราไม่มีความฝันร่วมกัน สภาพมันจึงเป็นเช่นที่เราเห็นตอนนี้”


กำลังโหลดความคิดเห็น