xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มีข้อมูลใหม่ โอกาส “พิธา” เป็นศูนย์!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

เรียบร้อยตามแผน สำหรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติที่ถือว่าได้รับการโหวตเป็นเอกฉันท์จากทั้งสภา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เนื่องจากไม่มีการเสนอชื่อคนอื่นแข่งขัน ส่วนตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนฯ อีกสองคน คือ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล เป็นรองประธานสภา คนที่ 1 และ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานสภา คนที่ 2 ก็ผ่านไปเรียบร้อย จากนี้ไปก็รอขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ ลงมาและนัดประชุมสภากันต่อไป คาดว่า ใช้เวลาไม่เกินสองสัปดาห์

จากนั้นก็จะเข้าสู่วาระสำคัญ คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้มีรายชื่อจากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรครวมกัน 312 เสียง ยืนยันเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ดี เป็นที่รับรู้กันมาตลอดสองสามสัปดาห์ว่า หนทางข้างหน้าที่จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม จนมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลย โดยเฉพาะยังต้องใช้เสียงโหวตจาก ส.ว.อีก 64 เสียง เพื่อให้ครบจำนวน 376 เสียง ของสมาชิกรัฐสภา

อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วคำว่า “อุปสรรค” ที่ว่านั้นล้วนมาจากพรรคก้าวไกลเองทั้งสิ้น ด้วยนโยบายที่สุดโต่ง สุดซอย ทำให้เดินไปข้างหน้าได้ยาก โดยเฉพาะไปเน้นเรื่อง “อ่อนไหว” เกี่ยวกับมาตรา 112 ที่ล่าสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯของพรรค ก็ยังยืนยันว่า จะเดินหน้าแก้ไขต่อไป มันก็เหมือนกับการ “ติดล็อก” ตัวเองซ้ำๆ ไม่หยุดหย่อน

นายพิธา ตอบคำถามกรณีการรวมเสียง ส.ว. ในการเลือกนายรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลได้เสียงเท่าใดแล้ว นายพิธา กล่าวว่า ต้องรอดูเวลาใกล้ลงมติเลือกนายกฯ ซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มีสัญญาณที่ดีขึ้น เป็นการส่งสัญญาณภาวะที่ดีว่า รุกได้ ถอยเป็น รักษาเอกภาพ เพื่อให้ได้เป้าหมายที่ใหญ่กว่า แสดงให้เห็นว่าผู้นำคนนี้ก็เข้าใจว่า เมื่อเวลารุกต้องรุกให้สุด ถ้าถอยก็ต้องไม่เสียหลักการ และได้ในสิ่งที่ต้องการเห็น คือ ความก้าวหน้าของสภา และเจตจำนงของประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้ ส.ว.ได้เห็น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ต้องมองไกล ปฏิบัติก็วันต่อวัน

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา มีการเคลียร์ใจกับพรรคเพื่อไทยอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า มีการพูดคุยกันมาตลอด แต่สถานการณ์การทำงาน มีทั้งเห็นด้วย และหารือกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาตลอด อาทิ การทำงานของคณะกรรมาธิการ ซึ่งมีสภาพการณ์แต่ละพรรคที่แตกต่างกัน ถ้าเราทำงานด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน แต่วันนี้พรรคก้าวไกล เข้าใจที่จะถอยออกมา และการมีฉันทามติร่วมกัน จึงบริหารจัดการได้ ทำให้ภาวะผู้นำ 8 พรรค น่าจะสูงขึ้น

เมื่อถามว่า การรุกได้ถอยเป็น จะหมายถึงการพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรีในอนาคตด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การรุกได้ถอยเป็น ขึ้นอยู่กับบริบท สถานการณ์ และข้อมูล ดูเป็นกรณีไป ซึ่งคนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเป็น ที่ประกอบไปด้วย ข้อมูล บริบท และสถานการณ์ในแต่ละครั้ง เพราะฉะนั้นถ้าจะก้าวกระโดดให้ไกล ก็ต้องถอยนิดนึง แต่หากยืนอยู่กับที่ จะกระโดดไม่ไกล แต่ยืนยันต้องไม่ขัดหลักการและสิ่งที่สัญญาไว้กับประชาชน พรรคต้องมีคุณค่า และไม่ขัดประชาชน

นายพิธา กล่าวยังยืนยันว่า การแก้ไขมาตรา112 ก่อนเลือกตั้งมีแนวทางอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม คือการยื่นกฎหมายเข้าสภา

ขณะที่ปฏิกิริยาจากฝ่าย ส.ว. เช่น นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา (ส.ว.) และ นายสมชาย แสวงการ ประธาน กมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวภายหลังการรับหนังสือจากกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และกลุ่มรามคำแหงรักสถาบัน ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลจะเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112

นายเสรี กล่าวว่า เรื่องการโหวตคงต้องดูอีกหลายๆ เรื่อง แต่ในส่วนของการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถือเป็นเรื่องหลัก และสำคัญในวุฒิสภา ซึ่งแม้จะยังไม่มีการประชุมสภาใหญ่ ก็ส่วนใหญ่ที่ได้มีการพูดคุยกันก็ให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารประเทศ อีกทั้งยังเสนอแนวทางการแก้ไขกฎหมาย ที่กระทบกับพระราชอำนาจ

ขณะที่ นายสมชาย กล่าวเสริมว่า ตนไม่เชื่อว่า 14 ล้านเสียง จะต้องการให้มีการแก้ไข หรือยกเลิก ม.112 และสิ่งที่กระทบต่อการล้มล้างรัฐธรรมนูญ และร่างใหม่ ในหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งเป็นความมั่นคงของชาติ เราพยายามสื่อสารกับพรรคก้าวไกลอยู่แล้วว่า ให้ลดเพดานเรื่องนี้ลง เพราะเป็นผลกระทบต่อความสงบสุขของประเทศ ทาง ส.ว.ได้แสดงเจตนารมณ์หลายครั้งว่า เรื่องเหล่านี้นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะฉะนั้นฝ่ายการเมืองควรแก้ปัญหาในสภา ง่ายที่สุด คือ การอย่าไปละเมิด เอานโยบายมาหาเสียง และไปกระทบกับพี่น้องประชาชนกลุ่มที่ไม่ได้เลือก แม้กระทั่งกลุ่มที่เลือกเองก็มีผู้ไม่เห็นด้วย

“เรียนไปยังพรรคก้าวไกลว่า เรื่องนี้ เลิกไปเถอะครับ แล้วไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนในเรื่องที่เขาฝากความหวังมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ ที่เขาอยากได้ ใน 300 นโยบาย มีตั้ง 290 กว่านโยบายที่เขาอยากได้ที่ไปหาเสียงไว้”

นายสมชาย กล่าวอีกว่า ยิ่งเมื่อวาน ตนได้ฟังการแถลงร่วมตนยิ่งหนักใจ เพราะยกระดับในเรื่องวันชาติ การสนับสนุนเรื่องการทำประชามติ รวมถึงการนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยเฉพาะ ม.112 ที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาอยู่ ทำไมไม่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมว่าไป หรือการแก้ไขกฎหมายบางประการที่เกี่ยวกับความมั่นคง ตั้งแต่เลือกตั้งมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นการแก้ไขนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนได้อย่างไร ส.ว.ก็รอฟังอยู่

“เรื่องนี้เราขอให้ลดเพดานลง ถ้าลดได้ เราก็เดินหน้าประเทศได้ แต่ถ้าเดินต่อ ยิ่งเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปเรื่อยๆ มันก็นำไปสู่ความขัดแย้ง แล้วก็ทำให้ ส.ว.ไม่สบายใจมากขึ้นในการโหวต” นายสมชาย กล่าว

นั่นเป็นท่าทีจากทั้งสองฝ่าย คือ จาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ที่ยังยืนยันว่า จะเดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 ต่อไป ขณะที่ฝ่าย ส.ว.ที่ย้ำว่า ไม่โหวตให้แน่นอน หากยังยืนยันเสนอแก้ไขมาตราดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ลดเพดานลงมา ทาง ส.ว.ก็จะโหวตให้

อย่างไรก็ดี ยังพอมีเวลาอีกนับสัปดาห์ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีกันได้ โดยเฉพาะจากนายพิธา และพรรคก้าวไกล หากต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นรัฐบาลให้ได้ ก็อาจมีการปรับนโยบายบางอย่างตามความเร่งด่วน ที่เกี่ยวกับปัญหาปากท้องชาวบ้านเป็นหลัก แต่หากยังยืนยันแบบเดิม มันก็เห็นภาพอยู่แล้วว่าไปไม่รอด แม้อาจมองว่าจะใช้ “กระแสกดดัน” ส.ว.ให้โหวตให้ โดยอ้างเสียงประชาชนอยู่ข้างหลัง ซึ่งเอาเข้าจริงมันอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ ตราบใดที่ยังเน้นแต่เรื่องที่ “อ่อนไหว” ต่อความรู้สึกของชาวบ้านอยู่แบบนี้

แต่หากประเมินกันตามสถานการณ์แล้ว นาทีนี้สำหรับพรรคก้าวไกล อาจมองข้ามช็อตไปถึงการถอนออกมาเป็นฝ่ายค้าน โดยหวังว่า คราวหน้าจะกลับมาให้มากกว่าเดิม เพราะรู้ชะตากรรมได้ดีว่า “ไปไม่รอด” แต่ต้องเดินไปให้สุดทางก่อน และเลี้ยงมวลชนไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งการเมืองทุกอย่างสามารถ “พลิก” กันได้ชั่วข้ามคืน สิ่งที่หวังเอาไว้อาจไม่ได้ดังที่คิดเอาไว้ก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลใหม่ สำหรับ นายพิธา แล้วโอกาสยังเป็นศูนย์ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น