เมืองไทย 360 องศา
หลังจากมีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา วันที่ 3 กรกฎาคม แล้ววันรุ่งขึ้น คือ 4 กรกฎาคม ก็มีกำหนดการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโหวตเลือกประธานสภากันเลย จากนั้นคาดว่า วันที่ 13 กรกฎาคม ก็น่าจะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เรียกว่า เป็นไทม์ไลน์ ที่กำหนดเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อมีขั้นตอนกำหนดเอาไว้แบบนี้แล้ว อีกด้านหนึ่งมันก็ถึงเวลาที่ทุกอย่างมีคำตอบ และความจริงต้องถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นเสียที โดยเฉพาะขั้นตอนแรก นั่นคือ ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผยแล้วว่าตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นใคร และมาจากพรรคใด
แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดแล้ว มีแนวโน้มสูงมากว่าน่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย โดยชื่อที่ถูกคาดหมายในเวลานี้ ก็คือ นายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งนั่นเป็น “สเต็ปแรก” และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้การเมืองเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 กรกฎาคม ดังกล่าว
แน่นอนว่า หากโฟกัสไปที่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ตอนนี้ พรรคก้าวไกล ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค ไม่สามารถกำหนดเกมอะไรได้แล้ว สาเหตุเป็นเพราะ “ติดกับดักตัวเอง” ที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้ทุกอย่างมีข้อจำกัด ขยับได้ลำบาก เริ่มจากรัฐบาลผสมที่ขาดพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็น “ตัวแปร” สมารถขยับไปทางไหนก็ได้ ขณะที่คำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ต้องจับมือกันนั้นก็เป็นแค่คำพูดที่เอาไว้หลอกต้มบรรดา “แฟนคลับ” เท่านั้น
ที่ต้องบอกว่า พรรคก้าวไกล “มีข้อจำกัด” เหมือนกับ “บล็อกตัวเอง” ให้อยู่กับที่ ขยับไปไหนไม่ได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องใช้สถานะของพรรค “ตัวแปร” ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ในลักษณะที่เป็น “เกมสองหน้า” ตามน้ำแบบเนียนๆ แต่สำหรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว “ไม่ถอย” อย่างเด็ดขาด เพราะยังมีเป้าหมายสูงสุดในใจลึกๆ ตามมาในขั้นตอนต่อไปในตอนโหวตเลือกนายกฯตามมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
รับรู้กันอยู่แล้วว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตหนึ่งเดียวของพรรค ล้วนต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนามสุดหินตั้งแต่แรก นั่นคือ “ปมถือหุ้นสื่อ” ที่กำลังถูกรอสอย ตามมาตรา 151 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแท่นรอไว้แล้ว และการถูกร้องซึ่งต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือแม้แต่นโยบายของพรรค ที่เกี่ยวกับ มาตรา 112 ที่ล้วนอ่อนไหว และจะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ ส.ว.ไม่โหวตให้เป็นนายกฯ ซึ่งจนถึงเวลานี้ก็ชัดเจนว่าไม่น่าจะได้เสียงถึง 64 เสียง จากจำนวนสมาชิกรัฐสภา 376 เสียง
ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีค่อนข้างแน่ แม้ว่าจะพยายามใช้มวลชนจากนอกสภากดดันแค่ไหนก็ตาม และหากเป็นมวลชนก็ล้วนแล้วแต่เป็นมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่ก็เป็น “ม็อบสามนิ้ว” ไม่ใช่ม็อบคนเสื้อแดง ซึ่งก็อาจมีบ้างที่ระยะหลังเทไปทางก้าวไกล แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เหมือนกับภาพที่เห็นเวลานี้ที่บรรดา “ด้อม” แต่ละฝ่ายแยกกันถือหางตอบโต้กันอย่างดุเดือด
รวบรัดตัดความ ก็คือ เมื่อมีการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นไปได้สูงมากที่คนของพรรคเพื่อไทยจะได้ไป และคนนั้นก็น่าจะเป็น นายสุชาติ ตันเจริญ ที่เวลานี้พยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมแสดงท่าทีให้ชัด ความหมายก็คือ ไม่ปฏิเสธ ไม่ถอนตัว มันก็เป็นคำตอบแล้วว่า “เอาแน่” ซึ่งการที่เพื่อไทยได้ตำแหน่งดังกล่าว อาจมาจากการยอมถอยของก้าวไกล หรือ “โหวตแข่ง” ถ้าออกมาอย่างหลังก็หมายถึง พรรคร่วม 8 พรรค เริ่มรวนแล้ว และจะส่งผลไปถึงวันโหวตนายกฯ ที่พรรคก้าวไกลเสนอชื่อ นายพิธา
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคเพื่อไทย เมื่อได้เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนฯมาแล้ว ก็ต้องเป็นบท “ตามน้ำ” ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อ นายพิธา โหวตครั้งแรกไม่ผ่าน ครั้งที่สองก็ยังไม่ผ่านอีก หรือแค่ครั้งแรกก็ต้องเปลี่ยนคนใหม่หรือไม่ คราวนี้ก็ถึงเวลาของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องเสนอแคนดิเดตนายกฯคนใหม่ รวมไปถึง “เพิ่มสูตรใหม่” เพราะสูตร 8 พรรคเสียงไม่พอ และ ส.ว.ไม่เอาก้าวไกล คำถามก็คือ เมื่อ “ปรับสูตรใหม่” แล้วก้าวไกลจะรับได้หรือไม่ หากรับไม่ได้ ก็ไปเป็นฝ่ายค้าน!!
มาถึงตอนนี้ก็เริ่มเห็น “สูตรใหม่” เข้ามาแล้ว โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีพรรคภูมิใจไทย และพลังประชารัฐ เข้าร่วม โดยสูตรนี้
(141+71+40=252) บวกอีกบางพรรค สูตรนี้เป็นสูตรข้ามขั้ว หลังจากที่ “สูตรก้าวไกล” ไปไม่รอด ก็จะ “ข้ามขั้ว” ซึ่งการเมืองเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่เชื่อว่าทุกอย่างต้องเดินไปตามเกม นั่นคือ ต้อง “เดินไปให้สุดทาง” ก่อน เหมือนกับการส่งสัญญาณล่าสุดของนายอนุทิน ชาญวีรกูร หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่แย้มให้เห็นเป็นนัยแล้วว่า “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” รวมทั้งปฏิเสธ ไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย และที่สำคัญ ยังยืนยันไม่ร่วมกับพรรคก้าวไกล ที่ยังหมกมุ่นอยู่กับ มาตรา 112 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเรื่อง “ดีลลับ” ของพรรคก้าวไกล กับ นายเนวิน ชิดชอบ โดยย้ำว่า ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์ หรือติดลบ ความหมายก็คือ เป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้น มาถึงตอนนี้ก็ต้องมองข้ามช็อตกันแล้วว่า ปิดฉากพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล ที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย สิ่งที่ต้องพิจารณากันถึงความเป็นไปได้ ก็คือ เริ่มจาก พรรคเพื่อไทยจะได้เก้าอี้ประธานสภาผู้แทน โดยมีชื่อของ นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นเต็งหนึ่ง จากนั้นก็เป็นการ “จับขั้ว” ตั้งรัฐบาลใหม่ มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีภูมิใจไทยและ พลังประชารัฐเข้าร่วม สูตรนี้ภูมิใจไทยเป็น “ตัวแปร” ส่วนใครจะเป็นนายกฯ ระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ค่อยมาว่ากัน
และสูตรนี้ พรรคก้าวไกล ก็เป็นฝ่ายค้าน โดยอาจต้องทำงานร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นเอง !!