xs
xsm
sm
md
lg

“เรืองไกร” ยื่นหลักฐานเพิ่มมัด “พิธา” ผลหุ้นไทยทีวี ยันวางแผนทำสื่อต่อเนื่องตั้งแต่ 59 ก่อนทำจริง ก.พ. 66

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เรืองไกร” ยื่นหลักฐานเพิ่มมัด “พิธา” ผลหุ้นไอทีวียันวางแผนทำสื่อต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 ก่อนทำจริง ก.พ. 2566 ไม่สนถูกร้องแจ้งเท็จ เตือนระวังเจอเล่นกลับ เตรียมร้อง “พิธา” หลัง กกต.รับรอง ส.ส.

วันนี้ (13 มิ.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณากรณี กกต. ตั้งคณะกรรมการไต่สวนเอาผิด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นสื่อ โดยเป็นคำชี้แจงของนายพิธาที่โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว รายงานการโอนหุ้นไอทีวีของนายพิธาไปยัง นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 สำเนาหมายเหตุประกอบงบการเงิน ของบริษัท ไอทีวี เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2566

นายเรืองไกร กล่าวว่า เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการไต่สวนตามมาตรา 51 ของ กกต. ควรจะมีการพิจารณาหลักฐานเหล่านี้ ทั้งการชี้แจงของนายพิธาผ่านเฟซบุ๊กซึ่งต้องให้ความเป็นธรรม หรือการที่นายพิธาจำไม่ได้ว่าโอนหุ้นเมื่อไหร่ ซึ่งตนพบว่ามีการโอนหุ้นในวันที่ 25 พ.ค. 2566 จึงนำหลักฐานมายื่นต่อ กกต. และหมายเหตุประกอบงบการเงินไตรมาส 1 ฉบับวันที่ 31 มี.ค. 66 ที่ระบุชัดว่าวันที่ 24 ก.พ. 2566 มีการทำธุรกิจสื่อ โดยมีการระบุว่าจะรับรู้รายได้ไตรมาส 2 ซึ่งธุรกิจสื่อตรงนี้เป็นงานบริการ ต้องมีการส่งมอบก่อนจึงจะรับรู้รายได้ ทำให้มีการระบุว่าจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2

“ที่กำลังถกเถียงกันในขณะนี้เกี่ยวกับรายงานการประชุมไม่ตรงกับคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ออกมา ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะต่อให้บันทึกไม่ตรง หรือไม่มีการถาม หรือมีการถามมากกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ข้อกฎหมายของรัฐธรรมนูญ หรือข้อเท็จจริงที่นำมาร้องเปลี่ยนไป เพราะกฎหมายกำหนดว่า ผู้จะลงสมัคร ส.ส.ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ ผมก็มีหลักฐานเป็นใบ บมจ.6 ที่ปรากฏชื่อนายพิธาถือหุ้น และยังพบว่ามีการเปลี่ยนที่อยู่ถึง 3 ครั้ง ในฐานะที่ท่านมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น จะอ้างว่าไม่ทราบรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ที่จะส่งให้กับผู้ถือหุ้นทุกครั้ง ก็เป็นเรื่องของท่าน หรือจะแก้ว่าถือในนามใครก็เป็นสิทธิของนายพิธา”

นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดถึงหุ้นที่มีลักษณะต้องห้าม ไม่ต้องเรียนกฎหมาย อ่านแล้วก็แปลความหมายออก กฎหมายเขียนว่าห้ามไม่ให้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใด สิ่งที่จะนำมาตอบประเด็นนี้คือวัตถุประสงค์ของบริษัทซึ่งระบุวัตถุประสงค์ทำกิจการสื่ออยู่ประมาณ 4-5 ข้อและหลังถูกบอกเลิกสัญญากับสำนักปลัดสำนักงานนายกรัฐมนตรี (สปน.) วัตถุประสงค์ในการทำสื่อของบริษัทยังคงมีอยู่ โดยดูได้ในรายงานการประชุม ผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2559-2561 มีการระบุเรื่องการมองหา เป้าหมายในการจะเป็นผู้ประกอบกิจการเทเลคอมมีเดีย และเทคโนโลยีอยู่แล้ว จนมาถึงรายงานตามงบการเงินไตรมาส 1 วันที่ 24 ก.พ.ระบุชัดว่าบริษัทมีการดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับสื่อ

“ที่บอกว่า ผมไปสมคบทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วมาร้องในวันที่ 10 พ.ค. 2566 อยากถามว่าวันนั้นยังไม่มีใครรู้เลยว่าพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนกลับมาขนาดนี้ และถ้าไปดูในรายงานตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา คนถือหุ้นต้องเห็น มันระบุชัดว่าเขามีแผนที่จะทำสื่ออยู่ตลอด และตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่านายพิธาถือหุ้นอยู่ แล้วนายพิธาถือหุ้นไอทีตั้งแต่ปี 2559 แต่หลังเลือกตั้งปี 2562 ทำไมไม่แจ้งการถือหุ้นนี้ต่อ ป.ป.ช.ทันที ทำไมถึงต้องมาแจ้งในภายหลัง เพราะต้องการไม่ให้มีการตรวจสอบใช่หรือไม่ วันนี้การยื่นบัญชีของส.ส.ที่พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 66 นายพิธาก็ขอเลื่อน ผมก็อยากขอเรียกร้องในฐานะที่ท่านพูดเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ก็ขอให้มีการนำข้อมูลขึ้นเว็บไซต์เลย มีเงินฝาก เงินลงทุนเท่าไหร่ การค้ำประกันหนี้ส่วนต่างมีจำนวนเท่าใด ทรัพย์ที่อ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกมีอะไรบ้าง และนอกจากหุ้นไอทีวี ยังมีหุ้นตัวอื่นด้วยและได้มีการยื่นต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะมีแค่หุ้น น่าจะมีทรัพย์สินอย่างอื่นด้วย”

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อบริษัทมีแผนทำสื่อมาตั้งแต่ปี 2559 ทำไมเพิ่งมาทำธุรกิจสื่อใน 24 ก.พ. 2566 ซึ่งกำลังจะเลือกตั้ง นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนไม่สงสัยเพราะเขามีแผนมาตั้งแต่ปี 2560 และต้องไปถามไอทีวี ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการยุบสภา ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง แลนด์สไลด์ มีใครคิดจะสกัดหรือ ส่วนที่มองว่ามีขบวนการให้ลงสื่อ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ไอทีวีถูกฟื้นเป็นสื่อหวังเล่นงานนายพิธากับพรรคก้าวไกล ก็ขอให้เอาข้อมูลตรงนี้ไปชี้แจงต่อกกต. มาชี้แจงตรงนี้ไม่มีประโยชน์อะไร

เมื่อถามว่า มีคนมองว่า มีขบวนการปลุกผีไอทีวีเพื่อมาเล่นงานนายพิธา เรื่องนี้นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนหน้าตาเหมือนพ่อมดหมอผีอย่างนั้นหรือ ตนทำคนเดียว และทำในห้องนอนด้วย คิดว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ตนก็มาร้อง แต่ตนจะไม่ไปชี้นำสังคมก่อนที่เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพิจารณาตัดสิน ไม่เช่นนั้น เราจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบไว้ทำไม และที่กล่าวหาว่าตนรับไม้ต่อมาจากนักการเมือง ก็ให้ไปหาไม้ท่อนนั้นให้เจอกันแล้วค่อยมากล่าวหา วันนี้ก็ยังไปขุดกันอยู่เรื่องเงินในบัญชี 25 ล้าน เรื่องรถหรู ซึ่งต้องบอกว่าตนรวย เงิน 25 ล้านบาท จิ๊บๆ ไปดู ป.ป.ช.ตั้งแต่ 2551 ก็จะรู้ตนมีเท่าไร ตนรู้ว่าสังคมมองคนในแง่ร้าย มีอคติ แต่อยากให้สู้กันตามระบบ ท่านมาจากการเลือกตั้งก็สู้กันในระบบ ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายใด หรือเขียนว่าถ้าท่านชนะการเลือกตั้ง ได้ฉันทามติแล้วห้ามถูกตรวจสอบ

“ที่มีทนายความไปแจ้งความ ผมไม่สน และไม่ให้ความเห็น คันๆ นิดหน่อย ใครจะไปแจ้งความไม่สน คนแจ้งเป็นทนาย รู้ใช่ไหมแจ้งความเท็จจะเป็นอย่างไร ตนไม่เคยเอาของเท็จมาร้อง ไม่เคยหิวแสงด้วย เวลาร้องก็มาเนื้อๆ จะเตะสกัดตนก็หาวิธีให้ดีกว่านี้หน่อย” นายเรืองไกร กล่าว และว่า หลัง กกต.ประกาศรับรองให้นายพิธาเป็น ส.ส.แล้ว วันรุ่งขึ้นจะมายื่น กกต. ให้ดำเนินการกับนายพิธาตามมาตรารัฐธรรมนูญ 82




กำลังโหลดความคิดเห็น