xs
xsm
sm
md
lg

แกนนำพิราบขาว ยื่นกกต.ใหม่ เอาผิด “พิธา” ปมโอนหุ้นสื่อหลังเลือกตั้ง เล็งยื่นตรงศาล รธน. ซัดอย่าเบี่ยงประเด็นมีขบวนการฟื้นไอทีวี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แกนนำพิราบขาว ยื่นกกต.ใหม่ เอาผิด “พิธา” ปมโอนหุ้นสื่อหลังเลือกตั้ง ชักช้าเล็งยื่นตรงศาลรธน. ซัดอย่าเบี่ยงประเด็นมีขบวนการฟื้นไอทีวีล้ม “ก้าวไกล-พิธา” ชี้แค่มโน


วันนี้( 12 มิ.ย. )นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นคำร้องขอให้กกต. ตรวจสอบการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ว่า เข้าข่ายมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) หรือไม่ ซึ่งเป็นการยื่นคำร้องใหม่หลังกกต.ไม่รับคำร้อง เนื่องจากเป็นการยื่นเกินเวลา
นายนพรุจ กล่าวว่าการที่กกต. ปัดตกคำร้อง ไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้ตกไป แต่เป็นความปรากฏต่อกกต. จึงสั่งดำเนินคดีอาญามาตรา 151 วันนี้ตนจึงมายื่นคำร้องให้กกต.ตรวจสอบเป็นกรณีใหม่ ซึ่งเป็นการยื่นหลังการเลือกตั้ง และเป็นประเด็นที่นายพิธาโอนหุ้นให้บุคคลอื่นหลังการเลือกตั้ง ทั้งนี้ หากกกต.ไม่ดำเนินการ หรือดำเนินการล่าช้า ตนจะไปยื่นต่อ ส.ส. ที่จะได้รับการรับรอง พร้อมข้อมูลหลักฐาน เพื่อให้เข้าชื่อ 1 ใน 10 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยยื่นผ่านประธานรัฐสภา ซึ่งประธานรัฐสภาไม่มีสิทธิยับยั้ง ต้องส่งตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย และหากส.ส.ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามที่ต้องการข้อมูลตนก็พร้อมที่จะให้ รวมทั้งจะยื่นให้คณะกรรมาธิการวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา โดยเฉพาะคณะกรรมการตรวจสอบหุ้นของวุฒิสภาให้ทำการตรวจสอบ ถ่วงดุลกับ กกต.

"ขอย้ำว่าผมจะไม่หยุดดำเนินการ จะนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณะ ยืนยันว่าไม่ได้ทำนิติกรรมสงคราม แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายนิติรัฐ ดำเนินการโดยนิติธรรม เป็นการบังคับใช้กับประชาชนทุกคนไม่ใช่เฉพาะพรรคก้าวไกล หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ขอให้ทุกพรรคอย่านำมาเป็นเงื่อนไขสร้างความขัดแย้ง สร้างวาทกรรมให้เกิดความสับสน เพราะความผิดปรากฏตามกฎหมาย และข้อมูลที่นำมายื่นนั้นเป็นข้อเท็จจริง แม้กกต.จะปัดตกด้วยเทคนิคต่างๆ ด้วยข้อกฎหมาย แต่ผมจำเป็นต้องยื่นซ้ำ โดยให้กกต.พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ว่าเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามลงสมัครส.ส.หรือไม่ หากพบเขาข่ายมีความผิดก็ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ผมจะยื่นหลักฐานให้ส.ส. "

ส่วนกรณีมีการเปิดเผยคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่ระบุว่า บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จะรอผลของข้อพิพาทคดีที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ให้จบก่อน นายนพรุจ กล่าวว่า ข้อเท็จจริง แม้แต่หุ้นเดียวหรือปิดกิจการเหมือนวีลัคมีเดีย ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ศาลจะตรวจดูว่าถ้าชื่อตรงกับสื่อมวลชนก็จะไม่แปลความเป็นอย่างอื่น แม้แต่ปิดกิจการไปแล้วก็ต้องได้รับโทษ อย่างกรณีนายสุรโชค ทิวากร ผู้สมัครพรรคไทยภักดี ที่ถือหุ้นบริษัท อสมท.จำกัด มหาชน เพียง 1 หุ้น หุ้นละ 5 บาทซึ่งไม่มีโอกาสครอบงำสื่อเลย และไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ตามกฎหมายเมื่อเข้ามาสมัครแล้ว คุณรู้อยู่แล้วแต่จงใจสมัครก็ต้องได้รับโทษ ส่วนหลักฐานที่ตนนำมาในวันนี้นั้นเป็นคำสัมภาษณ์ของนายพิธา ที่ยอมรับต่อสื่อว่าได้โอนหุ้นทายาท ส่วนเรื่องบริษัทไอทีวีปิดหรือไม่ปิดนั้น จะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมหลังกกต.ประกาศรับรองส.ส.เพื่อ ประกอบการพิจารณา ย้ำว่าการที่กกต.ปัดตกไม่ได้เป็นเพราะตนยื่นเท็จ แต่ปัดตกเพราะเงื่อนไขเรื่องเวลา และกกต.ก็นำความทั้งหมดมาดำเนินการเอง

“ใครจะไปดำเนินการแจ้งความเท็จ มันจะกลายเป็นเท็จซ้อน ต้องฝากด้วย เพราะว่ากกต.เป็นคนพูดว่า ความปรากฏ คุณต้องไปตีความคำว่า ความปรากฏก่อน คือความจริงไม่ใช่ความเท็จ ไม่อย่างนั้น กกต.ก็จะถูกดำเนินคดีเอง ถ้าเอาความเท็จไปดำเนินการ”

เมื่อถามต่อว่า นายพิธาระบุว่ามีความพยายามฟื้นไอทีวีให้เป็นสื่อ เพื่อมาเล่นงานตัวเอง นายนพรุจ กล่าวว่า เป็นวาทกรรมและอาจจะเป็นมโน ซึ่งนายพิธามีสิทธิคิดและต่อสู้ เพราะถูกกล่าวหา ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา แต่ทุกอย่างและข้อเท็จจริงจะปรากฏในชั้นศาล ที่มาร้องก็เพราะตนต้องการให้ผู้ถูกร้องต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ไม่ใช่กฎหมู่ และตนไม่สนับสนุนการลงถนน ขอให้กกต.ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ โดยยึดตามสโลแกนใหม่ “กกต.สุจจิต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย” แต่ตนก็ได้พยายามย้ำว่า สุจริต โปร่งใส หากไม่มีคำว่าโปร่งใสก็ไม่เป็นอะไร แต่ขอให้กกต.ทำหน้าที่เป็นข้าราชการของแผ่นดิน เป็นข้าราชการของพระราชา และเป็นข้าราชการของประชาชนด้วย

เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่พรรคก้าวไกลพยายามเปิดโปงว่าเป็นแผนที่ต้องการล้มพรรคก้าวไกล นายนพรุจ กล่าวว่า ขณะนี้เขากำลังจุดประเด็น อาจจะมีสื่อมวลชนบางส่วนไปจุดประเด็น แต่ต้องบอกว่า ประเด็นจริงๆ แล้ว ก็เหมือนที่กกต.ออกมาแถลงว่า ในวันที่ลงสมัครถือหุ้นสื่อหรือไม่ และจริง ไม่จริง และสื่อยังดำเนินการหรือว่าเลิกไปแล้ว แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่มีการจุดประเด็นไปเรื่องอื่น อาจจะเป็นการขยายปม ซึ่งตนไม่สนใจ.


กำลังโหลดความคิดเห็น