xs
xsm
sm
md
lg

“ลุงตู่” นิ่งสงบ รอเก็บฉากกลับบ้าน!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

เวลานี้หากพิจารณากันตามสถานการณ์แล้วก็ต้องบอกว่า เป็นช่วงเวลาของฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ 8 พรรค ที่มีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำ จะสามารถดำเนินการได้สำเร็จหรือไม่เท่านั้นเอง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นไปได้เท่าๆ กัน เพียงแต่ว่า โอกาสพลิกผันที่ว่านั้น จะเกิดขึ้นในกลุ่มของพรรคร่วมฯด้วยกันเองมากกว่า นั่นคือ จะเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคอันดับสอง ได้กลับมาเป็น “แกน” ตั้งรัฐบาลแทน โดยมีก้าวไกลกลายเป็นพรรคร่วมแทน ส่วนขั้วพรรคร่วมฯเดิม นาทีนี้แทบจะไม่มีโอกาสเลย ซึ่ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็ยอมรับสภาพแล้วว่า “ไม่มีโอกาส” เลย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ตอบคำถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถึงกระแสทางการเมืองอะไร หรือไม่ หลัง นายอนุทิน เดินทางกลับจากต่างประเทศ ว่า ก็ไม่มีอะไร ท่านก็บอกว่าไม่มีอะไร เพียงไปดูฟุตบอลเฉยๆ พอดีมีเวลาว่างจากการประชุม WHO

ถามว่า ไม่มีดีลลับอะไรกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีหรอก จะไปดีลลับอะไร คนเยอะขนาดนั้นในสนามฟุตบอล ไม่ลับหรอก คนเป็นหมื่นจะไปดีลอะไรกันตรงไหน นั่งตรงไหนยังไม่รู้เลย

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องระมัดระวังหน่อยการตัดต่อภาพอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด ทำมาเจอกันแล้วสร้างประเด็นขึ้นมา ของตนเองก็มีการเอาไปดัดแปลงอะไรบ้างก็ไม่รู้ ดูแล้วมันก็ทุเรศเกินไป วันนี้เทคโนโลยีด้านดิจิทัล มีมากมายเหลือเกิน ก็อย่าเชื่อทุกเรื่องก็แล้วกัน

เมื่อถามว่า สถานการณ์ตอนนี้มีการพูดถึงการดีลรัฐบาลข้ามขั้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบ ผมไม่ทราบ ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง เรื่องการเป็นรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องของผม นั่นเป็นกลไกที่จะพูดกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายที่มีอยู่ ผมไม่เกี่ยว ผมเป็นรัฐบาลรักษาการ ดูแลพี่น้องประชาชนของเราและขับเคลื่อนแผนงานโครงการต่างๆ ที่ทำได้ เพราะประชาชนมีความเดือดร้อนอยู่หลายๆ มิติด้วยกัน ดูแลประชาชนดีกว่า อันนั้นการตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องของกระบวนการก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ”

เมื่อถามว่า ในใจของนายกฯยังหวังจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีในใจ นอกใจ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทำไมจะต้องหาคำตอบอันนี้ให้ได้เลยนะ เมื่อถามว่าจะได้รู้ว่านายกฯ จะตัดสินใจไปต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “แล้วผมไปได้หรือไม่ ไปได้ไหมล่ะ”

เมื่อถามว่า นายกฯ ก็มีโอกาส พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมยังไม่เห็นโอกาสเลยท่านเห็นยังไงล่ะ จะไปได้ยังไง”

เมื่อถามอีกว่า ตามกระบวนการถ้าพรรคอันดับที่ 1 อันดับที่ 2 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคที่เหลืออยู่รวมกับพรรคเล็กๆ ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไร้สาระ พร้อมหันไปยิ้ม ยักคิ้วให้ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยืนอยู่ด้านหลัง

เมื่อถามอีกว่า นายกฯเองก็มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ สามารถที่จะเสนอชื่อในสภาได้ จังหวะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ระหว่างหันไปหา นายธนกร ถึงกับหัวเราะ พร้อมกับหันมาตอบอย่างอารมณ์ดีว่า ไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นเลยนะ เธอคิดไป เธอมาเป็นรัฐบาลก็แล้วกัน มาคิดแทนฉันหน่อย
 
เมื่อถามว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อย จะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันเป็นได้หรือ เมื่อถามว่า นายกฯไว้ใจพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ถ้าเขาจะนำจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ

เมื่อย้อนไปพิจารณาคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ต้น ก็พอจับประเด็นได้สองสามอย่าง นั่นคือ หนึ่ง รัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่มีทางเป็นไปได้ สอง ตัวเองไปต่อไม่ได้ และสาม ไม่มีดีลลับหรือ “พลิกข้ามขั้ว” ซึ่งคำพูดของเขาถือว่ามีความชัดเจนมากที่สุดจากการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ก็ต้องมาพิจารณากันถึงความเป็นไปได้ของอีกฝั่ง คือ ฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ทั้ง 8 พรรค ที่นำโดย พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับสอง ในเวลานี้ที่แม้ว่าจะดูเหมือนมีความคืบหน้า แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่า “ยังไม่ไปไหน” เพราะอย่างมากก็เป็นการตั้งคณะทำงาน คณะกรรมเพิ่มเติมเพื่อพิจารณานโยบายนั้นนโยบายนี้ของรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็ยังเลื่อนลอย ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนสาเหตุสำคัญอาจเป็นเพราะทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ส.ส. ยังไม่รู้ว่าจะมีว่าที่ ส.ส.คนไหน พรรคไหนจะถูกถอย ได้รับใบเหลือง ใบแดงกี่คน

แต่ที่สำคัญที่สุด เฉพาะหน้าก่อนที่จะไปถึงขั้น ส.ว.ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ก็คือ เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทั้งสองพรรคแกนนำยังตกลงกันไม่ได้ และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอมถอย จนทำให้ต้องเลื่อนการหารือออกไปก่อน ขณะที่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะรอได้ เพราะมั่นใจว่าตัวเองยัง “ถือไพ่เหนือกว่า” จากการที่พรรคก้าวไกล ขาดพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ในการตั้งรัฐบาล

นี่ยังไม่นับกรณีข้อร้องเรียนเรื่อง “การถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี)” ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯที่แม้หลายคนบอกว่า “รอดยาก” ก็ตาม และล่าสุด ได้เปิดเผยว่าได้โอนให้ทายาทไปแล้วก็ตาม นั่นก็เป็นการหาทางออกเพื่อลดความเสี่ยงที่เชื่อว่าหากไม่รอดในฐานะ ส.ส.ฐานะหัวหน้าพรรค แต่ในฐานะแคนดิเดตนายกฯยังสามารถไปต่อได้ ก็ว่ากันไปตามขั้นตอน

อย่างไรก็ดี นี่คือ ความเสี่ยงที่ นายพิธา และพรรคก้าวไกล ต้องเผชิญ และบอกได้คำเดียวว่า “เสี่ยงสูงมาก” และเหมือนกับว่า พวกเขาก็รับรู้สัญญาณนี้อยู่แล้ว ถึงได้ออกมาในลักษณะชี้นำข่มขู่กดดัน เช่น อ้างถึงเรื่อง “นิติสงคราม” มากลั่นแกล้ง ขัดขวางมติมหาชน 14 ล้านเสียงไม่ได้ ความหมายก็คือ “ขู่ปลุกม็อบ” อะไรประมาณนั้น

ดังนั้น เมื่อพูดถึงความเสี่ยงของพรรคก้าวไกล อีกด้านหนึ่งมันก็จะส่งผลในทางบวกกับพรรคเพื่อไทยในลักษณะ “ส้มหล่น” เต็มๆ โดยที่ไม่ต้องดิ้นรน เพียงแค่เดินตามหลักการเอาไว้เท่านั้น เริ่มจากการโหวตนายกฯ ที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องผ่านด่าน ส.ว. ซึ่งนาทีนี้บอกได้เลยว่า “ยากมาก” เมื่อไม่ผ่านและไปสุดทางแล้ว มันก็เปลี่ยนมาที่พรรคเพื่อไทยบ้าง เนื่องจากมีทางเลือกมากมาย ไม่จำกัดตัวเอง ทั้งยังจับมือกับก้าวไกลต่อไป หรือจะมาดึงขั้วรัฐบาลเดิมบางพรรคมาเสริมก็ทำได้ไม่ยาก และเชื่อว่าน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.เพียงพอ

นั่นเป็นภาพที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถึงอย่างไรความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ยังวนอยู่ภายในพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทยว่าใครจะเป็นแกนนำเท่านั้น โดยที่เพื่อไทยมีภาษีดีกว่าหลายเท่าตัว ขณะที่อีกขั้วคือ พรรคร่วมรัฐบาลเดิม หรือ “สองลุง” โดยเฉพาะ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ล่าสุด ถึงได้บอกชัดเจนแล้วว่า “ผมยังไม่เห็นโอกาสเลย” ความหมายก็คือทำหน้าที่รักษาการให้ดีที่สุดแล้วกลับบ้าน” เท่านั้นเอง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น