ข่าวปนคน คนปนข่าว
**อุ๊ย! ดีลลับ-ดีลหลุด“รมต.”วัยลุง ย่องกินหญ้าอ่อน หลังหลอมรวม เสร็จกลับเบี้ยว "จ่ายไม่ครบ" ชิ่งหนีเนียนๆ
งานนี้ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวกับ “ดีลลับ”จัดตั้งรัฐบาล และไม่เกี่ยวกับพรรคร่วมใดๆ หากเป็น “ดีลลับ” ของคนใหญ่คนโต นักการเมืองใหญ่ระดับ“รัฐมนตรี” ผู้หนึ่ง ลำพังผู้เดียว
ว่ากันว่า รมต.เจ้าของดีลลับผู้นี้เป็น “หนุ่มใหญ่” หรือจะเรียกว่าสูงวัยคราวลุงก็ว่าได้
เปลือกนอกใครๆก็นับหน้าถือตา เพราะว่าภาพที่พยายาม “สร้าง”ชวนให้เชื่อว่า เป็นคนที่ถึง “พร้อม” ทั้งคุณสมบัติการศึกษาสูงปรี๊ด และพรรษาทางการเมืองที่แก่วัดแก่วา
เรียกว่า เห็นหน้าต้องร้องอ๋อ เป็น ส.ส.ในท้องที่ตัวเองมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งยังมีตำแหน่งแห่งที่ ในพรรคก็จัดว่าเป็น “เบอร์ใหญ่” หาตัวจับยาก
แต่เนื้อในใครเลยจะรู้ คนๆนี้เข้าทำนอง “เห็นหงิมๆ เงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะจ๊ะ”
แถมลุงรัฐมนตรีจัดว่าเป็นผู้ที่มีรสนิยมบริโภค “ตับ” นอกบ้านอยู่เป็นอาจิณ
เมื่อไรที่เกิด “อารมณ์เปลี่ยว” ก็มักเปิดเจรจากับ “โม”เครือข่ายผู้ให้บริการ "คนรู้ใจ" เป็นธุระจัดหา “หญ้าอ่อน” ให้
หลังตกลง “ดีล”กันได้อย่าง“ลับๆ” ก็ให้พา "น้อง"ไปส่งยังสถานที่ลับหูลับตาคน เพื่อทำการ "ก้าวข้ามความขัดแย้ง" หลอมหลวมภารกิจ “มีลุง มีเรา”
ที่ผ่านมาไม่มีปัญหา!
ทว่า คราครั้งนี้กลับมีปัญหา! จะเพราะความงก หรือ ยังอินกับโครงการ "คนละครึ่ง" ไม่หายของเจ้าตัวหรือไม่..ไม่รู้
ที่รู้ๆ เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ในวันพฤหัสฯ(1มิ.ย.) ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อลุงรัฐมนตรีทำงามไส้ ทำ“น้อง” และ “โม” หัวจะปวด รับไม่ไหว
งามไส้ยังไง? จิ๊งจกในห้องแอบไปเห็นแชตของ “น้อง”ผู้เสียหาย ที่ส่งแชตถึง “โม” ที่ดูแล ฟ้องว่า คุณลูกค้าที่เป็นถึงท่านรัฐมนตรี “จ่ายไม่ครบ” ตามที่ตกลง!
เรื่องของเรื่อง ตามข้อตกลงที่MOUกันด้วยวาจา ก่อน "พาขึ้นสวรรค์ชั้น 7" ได้ระบุให้จ่ายค่าบริการ 50,000 บาท ซึ่งระดับรัฐมนตรี ก็ไม่เกี่ยง ชำระเป็นเงินสด 10,000 บาท และ เงินโอนอีก 40,000 บาท
ตรงนี้น้องว่า ไม่ได้มีปัญหา... ปัญหามันมาเกิดก็ตอน ลุงรัฐมนตรีมันส์ในอารมณ์หรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ ขอเพิ่มเงื่อนไข “หน้างาน” ว่า ก่อนจะพาน้องก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น ขอลุงแบบเรียลๆ ได้หรือไม่?
ทำนองถ้าเปรียบเป็นนักรบ ก็จะขอสู้แบบ “ไร้เสื้อเกราะ” ป้องกันกาย โชว์แมนๆ ว่า เป็นยอดชายยังไงยังงั้น
น้องเดิมทีไม่รับเงื่อนไขนี้ แต่เห็นเป็นลูกค้าท่านรัฐมนตรี เมื่อเพิ่มเงื่อนไขพิเศษ ก็ขอเพิ่มราคาที่ต้องจ่ายอีกสักหน่อย
โดยในที่สุด “ดีลลับ”ตกลงกันได้ ให้ท่านรัฐมนตรีโอนเพิ่มอีก “30,000” บาท
รมต.ก็รับปากว่า จะโอนจ่ายให้หลังปฏิบัติการก้าวข้ามความขัดแย้ง มีลุงมีเราลุล่วง
แต่...ลุล่วงก็แล้ว ได้เวลาแยกทางก็แล้ว ก็ยังอยู่กันที่ห้อง เพราะลุงรัฐมนตรียังไม่มีทีท่าจะโอนจ่ายเงินตามสัญญา
สุดท้าย ทั่นรมต.ออกลวดลายอ้างว่า ขอไปกดเอทีเอ็มที่ด้านล่าง เอามาจ่ายดีกว่า ขอให้น้องรออยู่ที่ห้องอย่างวางใจ เครดิต รมต.ไปแล้วจะรีบกลับขึ้นมา
ที่ไหนได้ ปรากฏว่า ความพีกบังเกิด เมื่อรมต.หายตัวไปนานสองนาน จนน้องผิดสังเกต ต้องลงมาตามที่ด้านล่างโรงแรมมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นรมต.แม้เงา จึงถามไถ่คนแถวนั้นได้ความว่า “ท่านขึ้นรถออกไปแล้ว”
สรุปว่า “ลุงรมต.” ตีเนียน เงินยังจ่ายไม่ครบ พลันชิงหลบลี้หนีหน้าจากไปดื้อๆ น้องจึงงานเข้า รีบแชตหา "โม" ดังว่า พร้อมกับ ยืนยันว่า...งานนี้ไม่มีทาง"สันติ"แน่
น้องหนูจะไม่ยอม ถ้าไม่จ่ายก็ไม่จบแน่นอน เงิน 30,000 บาท มีเรื่องจำเป็นต้องใช้ ยังไงๆ ต้องขอมา ท่านรมต. อย่าคิดว่าหนีแล้วจะลอยนวล
แว่วว่า เพราะด้วยท่าทีทะแม่งๆ ของรมต.น้องจึงมีลางสังหรณ์ว่า จะถูกเบี้ยว MOU จึงใช้มือถือกดแชะเก็บ"ภาพถ่าย "ทีเผลอของท่านรมต.ไว้เผื่อเหลือเผื่อสุดวิสัย
ภาพที่ออกมาชัดแจ๋ว ที่ใครๆ เห็นแล้วรับประกันได้ว่า ไม่ใช่คล้าย แต่ใช่เลย!
มั่นใจได้ว่า จาก “ดีลลับ” จะกลายเป็น “ดีลหลุด” เปิดมาเมื่อไหร่ได้หงายหลัง ตะลึงตึงตึง!!
พฤติกรรม “พร้อมชักดาบ” แบบนี้ต้องประจาน ส่วนจะเป็นของ ทั่นรมต.ท่านไหน ใครหนอ? ลองเดากันดูนะเอิงเอย.!
**กินปูนร้อนท้อง!! พิธา บอกไม่ได้เทขายหุ้น ไอทีวี แต่โอนให้ทายาทอื่นไปแล้ว นักกฎหมายบอกไม่ช่วยให้ดีขึ้น เพราะความผิดสำเร็จ
หลังจาก “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ออกมาปูดว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้เทขายหุ้นไอทีวี ออกไปแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
นักข่าวก็พยายามถามถึงเรื่องนี้ว่าขายไปแล้วจริงหรือไม่ แต่ “พิธา”ตีมึน ไม่ยอมตอบ กระทั่งเมื่อเช้าวานนี้ (6มิ.ย.) “พิธา”มีนัดประชุมคณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน นัดแรก ที่พรรคเพื่อไทย นักข่าวก็ไปดักรอขอความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ “พิธา” ก็ย่องเข้าทางประตูหลัง แล้วขึ้นไปห้องประชุมเลย แบบว่าไม่ต้องการเผชิญหน้ากองทัพสื่อ
แต่เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็หนีการชี้แจงไปไม่พ้น ดังนั้น “พิธา” จึงเลือกวีธีโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 11.00 น. เพื่อบอกในสิ่งที่อยากจะบอก โดยไม่ต้องถูกสื่อซักไซร้ ซอกแซก ...เนื้อหาที่โพสต์ หลักใหญ่ใจความคือ ยอมรับว่าถือหุ้น ITV จริง ในฐานะผู้จัดการมรดก และตอนนี้ได้โอนไปให้ทายาทอื่นๆเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เทขายตามที่เป็นข่าว
ส่วนที่ถือไว้นาน โดยไม่ได้โอนให้ทายาทอื่นก่อนหน้านี้ เพราะว่ามูลค่าหุ้น ITV ต่ำลงจนแทบไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ หลังจากที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงาน และดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ ต่อบริษัท ไอทีวี ทำให้เขาได้รับมอบหมายจากทายาทอื่นๆ ให้ถือหุ้นไว้แทน และในช่วงที่ผ่านมา ITV ก็ไม่ได้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคมได้ คือพูดง่ายๆว่าไม่ได้ทำหน้าที่สื่อนับแต่นั้นเป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน
พร้อมกันนี้ “พิธา” ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่จะ “ปลุกผี” ไอทีวี ขึ้นมาเป็นสื่อ เพื่อสกัดกั้นการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของตัวเขา และการตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล
“พิธา” ยังบอกว่า เมื่อเขาเข้ามาทำงานการเมืองในฐานะส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในเรื่องนี้ ต่อ ป.ป.ช.อย่างเปิดเผย... เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ เขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำลูกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ ก็ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงที่สุด กว่า14 ล้านเสียง
แต่แล้วกลับมีความพยายามฟื้นคืนชีพให้ ITV กลายเป็นสื่อมวลชน เพื่อนำมาใช้เล่นงานเขา
“พิธา”พยายามชี้แจงเพื่อสู้ในมุมที่ว่า ITV ไม่ได้เป็นสื่อแล้ว พร้อมยกตัวอย่างกรณี “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ผู้สมัครส.ส.นครนายก ถือหุ้นในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่ศาลฎีกา ตัดสินว่าไม่เข้าข่ายคุณสมบัติต้องห้ามเป็นผู้สมัครส.ส. มากดดันศาลรัฐธรรมนูญ
“พิธา” ทิ้งท้ายว่า จะเดินหน้าทำงานเตรียมการเปลี่ยนผ่านอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลที่มี “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีให้สำเร็จให้จงได้ ...ไม่มีใคร หรืออำนาจไหน มาสกัดกั้นฉันทานุมัติของพี่น้องประชาชน ที่ได้แสดงออกไปเมื่อการเลือกตั้ง 14 พ.ค. ถึงกว่า 14 ล้านเสียง ได้อีกแล้ว
ความระหว่างบรรทัดนี้ คือการปลุกม็อบ 14 ล้าน ให้ออกมาเป็นกำแพงพิง และกดดันศาลรัฐธรรมนูญชัดๆ!!
อย่างไรก็ตาม บรรดานักกฎหมาย นักวิชาการ ได้ออกมาแสดงความเห็นหลัง “พิธา” ออกมายอมรับว่าได้โอนหุ้นไอทีวี พ้นตัวไปแล้วว่า คงไม่ช่วยอะไรได้ เพราะ “ความมผิดสำเร็จแล้ว”
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. บอกว่าเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม ของส.ส. ตามมาตรา 98(3) หากผิด ก็ยังคงผิด เนื่องจากเป็นคุณสมบัติที่นับในวันสมัคร โดยพรรคก้าวไกล สมัครบัญชีรายชื่อวันที่ 4 เม.ย. ซึ่งก่อนวันโอนหุ้น จึงไม่น่าจะเป็นประโยชน์ในรูปคดี แต่ยิ่งทำให้คล้ายว่าตัวเขายอมรับว่าน่าจะผิด เลยโอนออกไปก่อนเลือกนายกฯ
เรียกว่าโอนหุ้นออกไป ก็เท่ากับยอมรับผิด!!
“สมชาย แสวงการ” ส.ว. กล่าวว่าถึงแม้ “พิธา”ได้แบ่งมรดกหุ้น ITV ให้แก่ทายาทอื่นแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความผิด กลายเป็นถูกได้ เพราะการถือครองหุ้นสื่อ ที่เป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรธน.มาตรา 98(3) ของผู้สมัคร ส.ส. รวมถึงแคนดิเดตนายกฯนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ “พิธา” ส่งใบสมัครต่อ กกต. ช่วง 4-7 เม.ย.66 แล้ว ดังนั้นทางกฎหมาย หรือ นิตินัย ถือว่า เป็นข้อยุติแล้ว
...ผมเห็นคุณพิธา อธิบายผ่านเฟซบุ๊กแล้ว เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากยอมรับการต่อสู้ว่า ไอทีวี เป็นสื่อมวลชน หรือไม่ ตามประเด็นที่มีผู้ยื่นคำร้องไปยัง กกต. อย่างไรก็ดี การไม่ถือครองหุ้นสื่อไว้ถือเป็นผลดีกับตัวเองในอนาคต เพราะคุณพิธา ยังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ได้ในครั้งถัดไป...
“เสรี สุวรรณภานนท์” ส.ว. เห็นว่าเรื่องนี้ ต้องหาข้อยุติให้ชัดเจนโดยเร็วเพื่อแก้ปัญหาอื่นที่จะตามมา และมีผลกระทบอีกจำนวนมาก หากรอไปจนถึงขั้นตอนของวุฒิสภาลงมติโหวตนายกฯ เกิดวุฒิสภาไม่เห็นชอบ หรือไม่เห็นด้วย ไม่ว่าประการใด ก็จะเกิดคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ก็จะเกิดความไม่สงบเรียบร้อย ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จึงขอให้ กกต.เร่งรัดรวบรวมหลักฐานส่งให้ศาลรธน. ก่อนที่จะถึงกำหนดวันเลือกนายกฯ
ส่วนที่ “พิธา”บอกว่า คุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. กับการเป็นแคนดิเดตนายกฯ เป็นคนละส่วน ไม่เกี่ยวกันนั้น “ส.ว.เสรี” เห็นว่า การเสนอตัวเป็นนายกฯ ก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับการเป็น ส.ส. เพราะรธน. บัญญัติเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่การเป็นสมาชิก , สมัครรับเลือกตั้ง , การเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพราะฉะนั้นในรธน. และในข้อบังคับพรรคก้าวไกล ได้บัญญัติในเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกัน ส่วนที่บอกว่าได้โฮนหุ้นออกไปแล้วนั้น ก็ต้องดูว่าเขาโอนช่วงไหน ถ้าโอนช่วงนี้ ก็ไม่มีผล เพราะการที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ เริ่มตั้งแต่ตอนที่เสนอชื่อในบัญชีพรรคการเมืองแล้ว
“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าหาก ไอทีวี มีสถานะสื่อ จะส่งผลต่อ “พิธา” หรือไม่ อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรตอบ ควรจะพิจารณาเองได้ !!