xs
xsm
sm
md
lg

“เรืองไกร” จี้กกต.สอบ “พิธา” งุบงิบขายหุ้นไอทีวี ชี้ไม่ช่วยพ้นผิด ท้าเจ้าตัวเปิดข้อมูล ตามคอนเซ็ปต์ “โอเพ่นดาต้า” ของก้าวไกล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เรืองไกร” จี้กกต.สอบ “พิธา” งุบงิบขายหุ้นไอทีวี ชี้ไม่ช่วยพ้นผิด ท้าเจ้าตัวเปิดข้อมูล ตามคอนเซ็ปต์ โอเพ่นดาต้า” ของก้าวไกล “ทนายอั๋น-ลุงศักดิ์" บุกยื่นค้านคำร้อง ตะโกนถาม คนบุรีรัมย์หรือไม่

วันนี้ (6 มิ.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นข้อมูลเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 7 กรณีร้องให้กกต.ตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา98(3) เนื่องจากถือหุ้นไอทีวี ว่า ขณะนี้มีการให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปในทิศทางต่างๆ ตรงข้อเท็จจริงบ้าง ไม่ตรงบ้าง มีการเบี่ยงเบนข้อกฎหมายบ้าง ซึ่งเป็นความเห็นที่ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่คิดว่าคงไม่ได้เข้าไปสู่สำนวนของ กกต.เท่าไหร่นัก แต่จากการติดตามพบว่ามีการพูดกันว่า บริษัทไอทีวีเลิกประกอบกิจการเป็นเด็ดขาดแล้วหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไอทีวีมีสัญญาเข้าร่วมงานกับ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)30 ปี ตั้งแต่ ก.ค. 2538 ต่อมาถูกบอกเลิกในปี 2550 ไอทีวีจึงยื่นฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการ โดยในชั้นแรก บริษัทไอทีวีแพ้

จากนั้นจึงร้องเป็นครั้งที่ 2 และ อนุญาโตฯ วินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาของสปน.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้สปน.ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ เพราะสปน.เห็นว่าอนุญาโตฯ รับคำฟ้องซ้อนกับเรื่องแรกที่มีคำวินิจฉัยไปแล้ว ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า อนุญาโตฯ ชี้ขาดครั้งที่ 2 ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลปกครองไม่มีอำนาจไปเพิกถอนตามคำร้องของ สปน. ต่อมาสปน.ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และอยู่ระหว่างการพิจารณา ตนจึงนำข้อมูลมาให้กกต.ประกอบการพิจารณา

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่านายพิธาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในงาน Pride month ที่มีการถามว่ามีการขายหุ้นหรือไม่ แต่นายพิธาไม่ได้ตอบคำถามจึงเป็นเหตุว่าต้องมีการเพิ่มคำร้อง ให้กกต.มีการตรวจสอบประเด็นนี้ว่านายพิธาได้มีการขายหุ้นหรือไม่ อีกทั้ง นายพิธาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งว่า กรณีที่แย่ที่สุดอาจจะพ้นจากการเป็นส.ส. แต่บัญชีนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ รวมถึงเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายพิธา ยังตอบคำถามสื่อมวลชนในกรณีขายหุ้นว่า เลขาธิการพรรคได้ให้ข้อมูลไปแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะตอบเช่นนั้น ควรบอกให้ชัดเจนว่าขายหรือยังไม่ขาย เพราะสิทธิในการขายหุ้น เมื่อนายพิธามีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีมา 16 ปี หลักฐานปรากฏชัด เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ แล้วถือมาเกินวันสมัครรับเลือกตั้งแน่นอน เพราะรายชื่อผู้ถือหุ้น ปรากฏวันที่ 16 เม.ย. 2566 แต่วันที่รับสมัครส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ คือวันที่ 3-7 เม.ย.

ดังนั้นขอให้ตรวจสอบการโอนหุ้นที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งตนก็ไม่ทราบวัตถุประสงค์ เพราะคงไม่ทำให้การสมัครส.ส. หรือการเป็นบัญชีนายกนั้นเสียไป ที่ไม่เสียไป เพราะเมื่อหากยื่นไปแล้วมีลักษณะต้องห้าม ถ้าศาลตัดสินว่านายพิธาถือหุ้นสื่อ นายพิธาจะหมดสิทธิเป็น ส.ส. และบัญชีนายกฯ ด้วย ซึ่งเป็นไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 14 ที่ระบุว่าถ้ามีลักษณะต้องห้าม หรือไม่มีหนังสือยินยอม ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะต้องสอบถามถึงการขายหุ้นของนายพิธา หากมีการซื้อขายก็ต้องมีการส่งสำเนาการโอนหุ้น ซึ่งตามพ.ร.บ.บริษัทจำกัดมหาชน 2535 หมวด 5 เรื่องผู้ถือหุ้นระบุชัดเจนว่าการโอนหุ้นต้องแจ้งใน 7-14 วัน หากไม่แจ้งจะถือว่าไม่มีการโอนหุ้น ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าน่าจะโอนแล้ว และน่าจะโอนหลังจากที่ตนยื่นร้องในวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา และเข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต.เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา น่าจะมีการขายในช่วงนี้ ขณะที่บริษัท จะต้องจดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการโอนโดยตราสาร ใบหุ้นสลักหลัง หรือขอให้ออกใบหุ้นใหม่ เขียนเอาไว้หมด

“ขอเรียกร้องไปยังนายพิธา ขอให้เปิดเผยข้อมูลต่อสื่อมวลชนไปเถอะ หากยังไม่ได้โอน ก็ตอบมาเลยว่ายังไม่ได้โอน ถ้าโอน ก็ขอให้แสดงหลักฐานว่าโอนแล้ว และจดแจ้งต่อบริษัทไอทีวีแล้ว แค่นั้นเอง ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะเว็บไซต์พรรคก้าวไกล ย้ำเสมอถึงคำว่า โอเพ่นดาต้า ของท่านนั่นแหละที่ผมเอามาเรียกร้องว่าทำไมข้อมูลของตัวท่าน ในฐานะที่แสดงตนเป็นหัวหน้าพรรค แต่ทำไมไม่เปิดเผย ทำไมต้องให้กกต.รับคำร้องผม แล้วถามไป แล้วการที่ขายไปแล้วเจตนาคืออะไร ผมคงไม่ก้าวล่วง แต่ถ้าคิดว่าโอนแล้วจะทำให้กลับมาเป็นบัญชีนายกฯ โดยชอบ ผมคิดว่าก็คงไม่ใช่ เพราะเป็นไปตามข้อกฎหมาย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการมายื่นคำร้องวันนี้นายเรืองไกร เดินทางมาพร้อมผู้ติตาม โดยระหว่างที่นายเรืองไกร ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ปรากฏว่านายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ "ทนายอั๋น บุรีรัมย์ " และนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ "ลุงศักดิ์" ได้ยืนรับฟังการให้สัมภาษณ์ด้วย โดยนายวีรวิชญ์ มีการเดินไปมารอบๆวงสัมภาษณ์ ทำให้นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ากังวล และระวังตัวเอง ก่อนจะจบการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว ไม่เปิดให้สื่อมวลชนซักถาม ขณะที่นายภัทรพงศ์ ได้เดินปรี่พยายามเข้าไปประชิดตัวนายเรืองไกร พร้อมตะโกนถามว่า “ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม พี่เป็นคนบุรีรัมย์หรือเปล่า” แต่นายเรืองไกร ก็หลีกเลี่ยงไม่เผชิญหญ้า แล้วเดินไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่กกต.

จากนั้น นายภัทรพงศ์ และ นายวีรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์ว่า มายื่นหนังสือต่อกกต.คัดค้านคำร้องของนายเรืองไกร รวมถึงบุคคลอื่นที่มายื่นร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการถือหุ้น itv ของนายพิธา โดยเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส มาตรา 42 (3 )เท่านั้น จะขายหรือไม่ขายหุ้นไม่มีปัญหา เจตนาที่กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นสื่อเพราะไม่ต้องการเห็นให้ผู้สมัครนำสื่อที่ตนเองเป็นเจ้าของมาใช้ในการโฆษณาหาเสียงสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับคู่แข่งขันซึ่งทั้งสองมาตราเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ เราต้องดูบรรทัดฐานสังคม ซึ่งพึ่งจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครส.สพรรคประชาธิปัตย์ จ.นครนายก มีข้อเท็จจริงที่เสี่ยงว่าจะผิดมากกว่านายพิธาอีกเพราะกิจการสื่อที่นายชาญชัยถือหุ้นอยู่ยังประกอบกิจการอยู่แต่บริษัทไอทีวี ได้ยุติการออกอากาศ มาตั้งแต่ปี51

นอกจากนี้สัดส่วนหุ้นไอทีวีที่นายพิธาถือก็เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นไอทีวีทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งทำให้ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการใดๆในการจะให้สื่อนั้นมาช่วยหาเสียงให้กับตนได้ และไอทีวีก็ได้หยุดกิจการไปแล้ว การที่นายเรืองไกร หรือใครที่มาร้อง ส่วนใหญ่ก็จะหน้าเดิมๆ ซึ่งสังคมก็ตีหน้าตีตราอยู่แล้วว่าเป็นพวกร้องไร้สาระ และเขาก็รู้ตัวว่าสังคมมองตัวเองอย่างไรแต่มีเหตุจูงใจในการร้องก็พูดเพราะเป็นเกมอำนาจทางการเมืองที่ต้องการขัดขวาง ซึ่งก็หวังว่ากกต.จะปัดตกคำร้องของนายเรืองไกรและผู้อื่นๆที่มายื่นร้องเรื่องการถือหุ้นของพิธา เหมือนกับที่ปัดตกคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยกรณีร้องนโยบายหาเสียงกระเป๋าเงินดิจิตอล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ที่ตนก็ได้มายื่นคัดค้านคำร้องของนายศรีสุวรรณ และกกต.ก็ปัดตกตามที่ตนยื่นร้อง












กำลังโหลดความคิดเห็น