"สนธิญา-แกนนำพิราบขาว" ให้ถ้อยคำ กกต.ปมพิธาถือหุ้นไอทีวี ชี้ขาดความชอบธรรมเป็นนายก จี้เคลียร์ตัวเองก่อนนั่งเก้าอี้ ถามกลับเรื่องคาศาล ปธ.สภากล้าทูลเกล้าหรือ โต้พระพยอม ไม่ใช่เรื่องเมตตาธรรม แต่เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
วันนี้(29พ.ค.)นายสนธิญา สวัสดี ให้ถ้อยคำกรณีต่อขอให้ตรวจสอบการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี โดยนายสนธิญา กล่าวว่า ไม่ได้เป็นผู้ร้องหลัก แต่ยื่นขอให้กกต.ระบุระยะเวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้ว่าจะใช้เวลาเท่าใด และได้คำตอบว่าจะทำคดีให้เสร็จหลังรับรองส.ส.แล้ว และจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ตนอยากให้กกต.ดำเนินการในเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนการประกาศรับรองผล เพราะเชื่อว่ากระบวนการตรวจสอบคุณสมบัตินายพิธา จะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ทั้งนี้นายสนธิญาระบุว่าขอชี้แจงไปถึงประชาชน และกราบนมัสการไปถึงพระพยอม กัลยาโณ ว่าการที่ตนเอามาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ปัญหาอยู่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดที่มาของส.ส.ไว้ในมาตรา 98 รวม 18 วงเล็บ ใครที่มีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ซึ่งการห้ามถือหุ้นอยู่ใน (3) ซึ่งนายพิธา มีปัญหาเรื่องการถือหุ้น และกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าให้ถือได้มากน้อยแค่ไหน แต่ระบุห้ามถือหุ้น ซึ่งอยากจะเรียกร้องไปยังพรรคก้าวไกลและนายพิธา ที่วันนี้ขาดความชอบธรรมที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะกกต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง หากมีการประกาศรับรองครบ 95 % เปิดประชุมสภา เลือกประธานสภา และนายกรัฐมนตรี เชื่อว่ากระบวนการนี้จะคู่ขนานกับการที่กกต.จะส่งเรื่องของนายพิธา ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตนเชื่อว่าถึงเวลานั้นหากนายพิธา เป็นผู้ที่ประชุมรัฐสภามีมติเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ถามว่าประธานสภาไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองไหนจะกล้าทูลเกล้า ชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ถึงเวลานั้นประเทศไทยจะอยู่ในช่องว่างของอำนาจ เพราะข้อเท็จจริงการจะทูลเกล้า ควรต้องอยู่หลังจากศาลธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว
"ไม่ใช่เรื่องของการกลั่นแกล้ง ชอบไม่ชอบ เกลียดไม่เกลียด หรือไม่มีเมตตาธรรม แต่เป็นเพราะคุณพิธา และพรรคก้าวไกล ไม่ดำเนินการจัดการตัวเองให้มีคุณสมบัติถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดจึงไม่มีสิทธิที่จะลงสมัครเป็นส.ส.เรื่องมีอยู่เท่านี้เป็นการไม่ทำตามบทบัญญัติที่หมายกำหนด"
เมื่อถามว่ามีการมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้บิดเบี้ยวหรือไม่ นายสนธิญา กล่าวว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติของประชาชน 17 ล้านเสียง เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าบิดเบี้ยวก็ไม่รู้ว่าเป็นใครฝ่ายไหนที่คิดเช่นนั้น และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้ตั้งแต่ปี 2560 รวมระยะเวลา 4 ปี พรรคก้าวไกลก็อยู่ในสภาทำไมไม่แก้ไขเสีย รวมทั้งมองว่ากรณีดังกล่าวจะทำให้ทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ให้นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนการตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จสิ้นออกมาชุมนุม แต่อยากให้ทั้งสองฝ่ายมองว่าบ้านเมืองต้องอยู่ด้วยกฎหมาย
ขณะเดียวกันนายนพรุจ วรชิตวุฒิ อดีตแกนนำพิราบขาว2006 เข้าให้ถ้อยคำต่อกกต.ในกรณีเดียวกัน ระบุว่า ส่วนตัวมองว่านายพิธา หมดสิทธิสมัครส.ส. ตั้งแต่ปี 2562 เพราะขณะนั้นก็ถือหุ้นไอทีวีแล้ว และต่อมานายพิธา ยังมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลมาสมัครส.ส. ครั้งนี้ รวมถึงเซ็นรับรองส่งสมาชิกพรรคลงสมัคร แสดงให้เห็นถึงเจตนา ซึ่งถือว่าเสี่ยงที่ถูกจำคุกมาก เพราะถือว่ามีเจตนาที่จะกระทำความผิด ซึ่งทั้งในพิธา และบรรดาผู้สมัครของพรรคจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 คือ รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครแต่ยังคงลงสมัคร มีโทษ 1-10 ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี
"รัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ห้ามผู้สมัครส.ส.ถือหุ้น การถือหุ้นแม้แต่หุ้นเดียวก็ซวยแล้ว มีตัวอย่างผู้สมัครส.ท.ลงสมัครแต่ถูกตัดสิทธิเพราะถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว ทั้งที่เขาไม่ได้มีเจตนาแต่คำว่าเผลอเรอหรือลืม มันใช้ไม่ได้ในทางกฎหมายดังนั้นพิธาถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่ปี 2551 ในทางกฎหมายถือว่าความผิดของนายพิธาสมบูรณ์แล้ว" นายนพรุจ กล่าวและว่า ที่มีการพูดว่าให้นายพิธา ทำงานไปก่อน ส่วนตัวเห็นว่าถ้าเราเอาตามกฎหมู่ก็ให้ทำงานไปก่อนได้ และถ้ายึดกฎหมายก็ต้องเอากฎหมายมาก่อน หรือการบอกว่าการที่นายพิธา ถูกเล่นงานในเรื่องนี้เพราะกฎหมายบิดเบี้ยว ก็ต้องไปแก้กันในขั้นตอนของสภา แต่ไม่ใช่เอากฎหมู่มาบังคับ