เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่านาทีนี้การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่และกำลังเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น เนื่องจากล่าสุดพวกเขาสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนอีก 7 พรรคการเมือง รวมเสียงทั้งหมดจำ นวน 313 เสียง ถือว่าเสียงเกินครึ่งของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกลไกสำคัญสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน คือ 251 เสียงมาไกลแล้ว
อย่างไรก็ดีทราบกันดีว่า ยังมีอุปสรรคขวากหนามสำคัญที่อาจจะไปต่อไม่ได้นั่นคือ หนึ่งเกิดจาก “เงื่อนไขของตัวเอง”และเชื่อมโยงกับ ส.ว.ที่ถือว่าเป็นด่านสำคัญตามรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องมาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งต้องใช้เสียงในที่ประชุมรัฐสภาจำ นวน 376 เสียงขึ้นไป
ดังนั้น ทั้งสองเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็น “ด่านหิน” ที่ยากจะฝ่าไป แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก ขึ้นอยู่กับว่ารู้จัก “ผ่อนหนักผ่อนเบา” หรือไม่เท่านั้น
สำหรับเงื่อนไขที่ว่าก็คือ “เงื่อนไขของตัวเอง” นั่นคือ แนวทางการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พรรคก้าวไกลยืนยันและเคลื่อนไหวมาตลอด ว่าจะต้องดำเนินการให้ได้ซึ่งหากไม่ยอมถอยหรือเปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่ ก็เชื่อว่าเดินไปข้างหน้าลำ บากเพราะหากถึงเวลานั้นจริงๆ ก็อาจจะต้องเจอกับแรงเสียดทานทั้งภายในและภายนอก ภายในก็คือ พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคที่เชื่อว่ายังไม่สมควรแตะต้อง อย่างน้อยที่เห็นท่าทีล่าสุดจาก “โทนี่” นายทักษิณชินวัตร ผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่ย้ำ ล่าสุดว่า เขาและครอบครัวปกป้องสถาบัน และมีความจงรักภักดีและยังเชื่อว่า พรรคก้าวไกล จะไม่ทำ ให้กระทบกระเทือนสถาบัน
หลังจากนั้น ก็จะเป็นบรรดา ส.ว.ที่ประกาศชัดเจนว่าไม่โหวตให้หากพรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ยังยืนยันที่จะแก้ไข ยกเลิกมาตรา 112 นี่ยังไม่นับกระแสภายนอกที่เริ่มมีแรงกดดันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เรื่องนี้แหละที่จะกลายเป็น “จุดตาย” ดับฝันไม่ให้ถึงฝั่งได้ในที่สุด
และแม้ว่าเวลานี้มีการยืนยันว่าพรรคก้าวไกล สามารถรวบรวมเสียงได้แล้ว 313 เสียงก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงจำ นวน 376 เสียง ดังนั้น ก็ต้องพึ่งพา ส.ว.อยู่ดีเนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการยืนยันว่า จะไม่หาพรรคอื่นมาเพิ่ม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย และล่าสุดพรรคภูมิใจไทย ก็ออกแถลงการณ์ไม่ร่วมกับพรรคที่มีแนวทางแก้ไขหรือ ยกเลิกมาตรา 112ความหมายพุ่งตรงกลับมาที่พรรคก้าวไกลนั่นเอง
แม้ว่าล่าสุดจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวในเชิงลดท่าทีให้อ่อนลงจากคนในพรรคก้าวไกล นั่นคือจะใช้วิธีการเจรจาหารือ ทำ ความเข้าใจให้มากขึ้น รวมไปถึงการประสานจากแกนนำ พรรคร่วมบางพรรคก็ตาม แต่ถึงอย่างไรหากยังไม่ยอมยืนยันว่าจะยอมถอย คือไม่แตะเรื่องดังกล่าวรับรองว่า “ไปยาก” เพราะจุดยืนในการขัดขวางการแก้ไข มาตรา 112 มันก็ไม่ต่างจากการทำ หน้าที่แทนคนไทยอีกจำ นวนมาก ซึ่งหากพรรคไหนไม่ชัดเจนในเรื่องนี้แล้วมากดดันให้โหวตสนับสนุน เชื่อว่าก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน
อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้เคยตักเตือนไว้แล้วว่า เท่าที่ทราบปัจจุบันรวบรวม 313 เสียง มันก็มั่นคงถาวรแล้ว ซึ่งเสียงเกิน 250 ถือว่ามั่นคงแล้ว รัฐบาลที่แล้วตนยังบอกว่าเรือเหล็กเลย แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่าเหล็กอีก
ถามว่า ถึงอย่างไรต้องอาศัยเสียง ส.ว.อีก 60 กว่าเสียง นายวิษณุกล่าวว่า อาศัยในช่วงของการโหวตนายกฯ และอาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ตนถึงได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่าเชื่อเถอะว่า ปรารถนาสารพัดในปฐพีเอาไมตรีแลกได้ดังใจจง ตนยังยืนยันแบบนี้อยู่ ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันไป ยังมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกฯ บวกเข้าไปอีกร่วม 30 วันรวมแล้ว 3 เดือน
ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำ ความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปด่าทอกัน หรือประชดประชันกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เพราะต่างก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐสภา มันไม่ใช่แค่ทำงานฉาบฉวย สำหรับการเลือกนายกฯอาจจะไม่ใช่ภารกิจยุ่งยากเท่าไหร่แต่การผ่านกฎหมายการอะไรต่ออะไร ยังมีมากกว่านี้และหลายคนใน 6-7 พรรคนี้ก็พยายามประสาน เพราะเขามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ฉะนั้น ใช้เวลาตอนนี้ให้เป็นประโยชน์อย่าลงมือด่าทอตบตีกันตั้งแต่วันแรก
เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมกับพรรคอื่นได้8พรรคแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า กี่พรรคก็ช่าง แต่ตนเห็นว่ามันมั่นคงแล้วเมื่อถามว่าไม่เยอะเกินไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่แกนนำรัฐบาลจะไปคิดกัน เราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไรว่าเยอะไป ถ้าเขาได้500ยิ่งดีใหญ่
เมื่อถามว่า มีคนประเมินว่าในรัฐสภาจะไม่สามารถเลือกนายกฯได้นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมายหากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกฯคนใดคนหนึ่งไปแล้วแต่ไม่ผ่าน จะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า “ได้โหวตมันทุกวันน่ะแหละ ชื่อเดิมก็ได้”
ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะมีการแถลงร่วมกันของแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่ ที่ย้ำ ว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และจะมีการลงนามเอ็มโอยูหรือข้อตกลงร่วมกันในวันที่22 พฤษภาคม ที่ระบุว่า ตรงกับวันที่มีการรัฐประหารในปี2557 ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรแต่ละพรรคยังพยายามสงวนท่าทีในเนื้อหาของเอ็มโอยูดังกล่าวว่ามีอะไรบ้างอ้างต้องหารือกันก่อน
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่าเรื่องอื่นๆ น่าจะผ่านไปได้ สามารถพูดคุยตกลงกันได้ แต่เชื่อว่าประเด็นเรื่องมาตรา 112 จะเป็นจุดตายของพรรคก้าวไกล ที่จะเดินหน้าต่อไม่ได้ หากยังมีท่าทียืนยันว่าดำเนินการ ไม่ยอมถอย ก็เชื่อว่า ส.ว.คงจะไม่โหวตให้ค่อนข้างแน่ อีกทั้งพลังสังคมข้างนอก ก็จะกดดันเข้ามาด้วย และเชื่อว่าประเด็นนี้จะทำให้แรงต้านเป็นเอกภาพ และชัดเจนมากกว่าตอนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแน่นอน !!