xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อไทย” เล่นบทพระเอก รอเสียบตั้ง รบ.ดาบสอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

นาทีนี้ก็ยังยืนยันว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังเต็งหนึ่งที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เนื่องจากได้รับเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด ในสภาผู้แทนราษฎร จึงได้สิทธิในการรวบรวมเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลผสมก่อนใคร

ซึ่งเขามีเวลาไม่เกิน 60 วัน นั่นคือ ต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียก่อน จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการโหวตประธานสภาผู้แทนฯ และโหวตนายกรัฐมนตรีต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็มีการประเมินกันว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้อันดับ 2 ก็ย่อมมีสิทธิในการรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลในลำดับถัดไป ดังนั้น หากพิจารณากันตามหลักการแบบนี้ ก็ยังถือว่าทั้ง 2 พรรคดังกล่าวมีโอกาสเป็นไปได้เท่าๆ กัน

ตามตัวเลขอ้างออกมาจากคำพูดของ นายพิธา ระบุว่า เวลานี้สามารถรวบรวมเสียงได้จำนวน 310 เสียง จาก 6 พรรค ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย และ พรรคเป็นธรรม

ทว่า ตามกติกาที่รับรู้กัน ก็คือ ต้องมีเสียง 376 เสียง ถึงจะถือว่าเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภา ดังนั้น เมื่อได้ 310 เสียง ก็ยังขาดอยู่อีก 66 เสียง ถึงจะเพียงพอ


เมื่อ นายพิธา และพรรคก้าวไกล บอกว่า เวลามีเสียง 310 เสียง จาก 6 พรรค ที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยจะไม่มีพรรคการเมืองอื่นเข้ามาเพิ่มอีกแล้ว ซึ่งหากเป็นแบบนั้นก็ต้องหวังพึ่งเสียงของ ส.ว.ให้มาโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี

ที่ผ่านมา ท่าทีของแกนนำพรรคก้าวไกล รวมไปถึงกลุ่มแนวร่วมมวลชนที่สนับสนุน กลับใช้วิธีกดดันให้ ส.ว.เคารพเสียงของประชาชน ที่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามามากที่สุด รวมไปถึงอ้างถึงการรวม 6 พรรค มีเสียงข้างมาก ถึง 310 เสียง อ้างฉันทามติของประชาชน แต่ก็มีคนแย้งว่า พรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้รับเลือกมาแบบชนะขาดหรือ “แลนด์สไลด์” ได้มาเพียง 152 เสียง พรรคเพื่อไทยได้มา 141 เสียง รวมไปถึงพรรคอื่น ใน 6 พรรคดังกล่าวได้เสียงลดหลั่นกันไป

ในรายละเอียด มีคนอีกจำนวนหนึ่งก็เลือกพรรคอื่น และคนของพรรคอื่นเป็นแคนดิเดตนายกฯของตัวเอง มีการยกตัวอย่าง พรรคเพื่อไทย ก็สนับสนุนชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร, นายเศรษฐา ทวีสิน และ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นต้น พรรคอื่นก็เช่นเดียว

มีการโพสต์ของบางคนที่น่าสนใจ ก็คือ “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ว่า ส.ส.ที่อยากได้พิธาเป็นนายกฯ มี 150 คนจาก 500 .. ซึ่งไม่ถึงครึ่ง อีก 150 กว่าเสียงที่ไปเติม คือตัวแทนจากพรรคที่อยาก “ร่วมรัฐบาล” ไม่ใช่ตัวแทนของคนที่อยากให้นายพิธาเป็นนายกฯ เพราะ ส.ส.เหล่านั้นหาเสียงให้แคนดิเดตคนอื่นหมดตอนเลือกตั้ง

จะไปเหมาว่า นี่คือ การแสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่อยากให้พิธาเป็นนายกฯ จนต้องบีบให้พรรคที่เขาไม่อยากได้ “พิธา” มาหลับหูหลับตาโหวตให้ .. ไม่ได้

ไม่มีใครต้องไปโหวตสนับสนุน “การร่วมรัฐบาล” หรือความอยากเป็นนายกฯของใคร ถ้าเขาไม่ได้ต้องการ เหตุผลพื้นฐานที่สุดของการโหวต คือ การแสดงความต้องการ เพื่อเอามานับกันแล้วกำหนดทิศทางประเทศ

การบีบให้คนต้องเลือกในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ไม่ใช่ประชาธิปไตยค่ะ อย่าใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” ให้มันมั่วไปกว่านี้

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาเพี้ยนๆ ก็ต้องหาทางเอาชนะตามกติกาให้ได้ ไม่ใช่ไปสร้างความเพี้ยนใหม่ขึ้นมา

(ตอนเรารณรงค์แก้ ม.272 ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ มีคนมาร่วมลงชื่อแปดหมื่นคน ที่เหลือบอกจะทำไปทำไมไร้สาระ เดี๋ยวชนะเลือกตั้งถล่มทลายก็ปิดสวิตช์ ส.ว. ได้เอง ถึงตอนนี้ทำไม่ได้ตามนั้น จะเลือกใช้วิธีไปบีบบังคับคนอื่น)

ถ้าพิธาได้โหวตไม่พอ พรรคต่อไปมีสิทธิลองเสนอแคนดิเดตของตัวเองแล้วจัดสูตรใหม่บ้าง และควรทำด้วย ถ้าไม่ทำก็ประหลาดแล้ว ตกลงคุณหาเสียงมาแทบตาย เพื่อให้พรรคอื่นซึ่งได้เสียงไม่ถึงครึ่งเป็นนายกฯหรือ? …

ลองดูว่าคุณ “เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย” ได้มากกว่าหรือไม่ นั่นคือ คุณสมบัติที่นายกฯของวันพรุ่งนี้ต้องมี ถ้าพรรคเพื่อไทยยังไม่ Get a grip ทุกอย่างจะหลุดไปอยู่ในมือของคนที่คุณไม่ต้องการแน่นอน

ทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าว เช่น แท้จริงแล้ว พรรคก้าวไกลได้เพียง 152 ที่นั่ง ยังไม่ถึงครึ่งของสภาผู้แทนฯ ส่วนที่เหลือก็เลือกพรรคอื่น และต้องการให้คนของพรรคนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกัน ดังนั้น จะมาเหมารวมว่าเสียงข้างมากต้องการให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี

ประเด็นต่อมาก็คือ พรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย ก็มีสิทธิที่จะจัดตั้งรัฐบาลเป็นลำดับถัดไป หาก พรรคก้าวไกล และ นายพิธา รวบรวมเสียงไม่สำเร็จ ภายใต้เงื่อนไขเวลาดังกล่าว ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการสากล ซึ่งจะว่าไปแล้วจำนวน ส.ส.มีทั้งหมด 500 คน ตอนนี้สามารถรวบรวมมาได้แล้ว 310 ยังขาดอีก 66 เสียง ทำไมไม่หามาเพิ่ม เพื่อจะเป็นการ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ไปโดยปริยาย หรือว่าหาไม่ได้ หรือว่าไป “จำกัดตัวเอง” เอาไว้ก่อนจนขยับมากไปกว่านี้ไม่ได้หรือเปล่า

เมื่อวกกลับมาที่เรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรี เมื่อดูตามรูปการณ์แล้ว โอกาสที่ นายพิธา และพรรคก้าวไกล จะรวบรวมเสียงข้างมากถึง 376 เสียง ค่อนข้างแน่ เนื่องจากมีการ “ล็อกตัวเอง” และไปล็อกคนอื่น นั่นเอง

ดังนั้น ก็มีแนวโน้มสูงเช่นเดียวกันว่า พรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคอันดับ 2 จะมีความชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ส่วนจัดตั้งได้หรือนั้น อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเมื่อสังเกตท่าทีจะเห็นได้ว่าจะพยายามแสดงบท “พระเอก” เป็นนักประชาธิปไตยเต็มที่ นั่นคือ บอกว่า ไม่ตั้งรัฐบาลแข่ง เปิดทางให้พรรคก้าวไกลเต็มที่ พร้อมทั้งยังพูดทำนองเรียกร้องให้พรรคอีกขั้วหนึ่งเคารพเสียงประชาชนโหวตหนุน นายพิธา อีกด้วย

พิจารณาตามนี้ ถือว่า พรรคเพื่อไทย “หล่อมาก” หนึ่งเคารพฉันทามติประชาชน แต่ความหมายก็คือ ปล่อยให้ตั้งรัฐบาลให้เต็มที่ ทั้งที่ในความเป็นจริงในใจ ก็คือ มั่นใจแล้วว่า “ไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน”

เมื่อปล่อยให้ “ไปให้สุด” แล้วไปไม่ได้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง ซึ่งว่ากันตามกติกา โดยอย่างหลังก็คือพรรคเพื่อไทย จะต้องได้รับโอกาสต่อมานั่นเอง ล่าสุด ก็มีการ “แย้ม” ออกมาให้เห็นแล้ว

“ดังนั้น ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ทุกคนจะเดินตามวิถีประชาธิปไตยให้มากที่สุด เว้นแต่ว่าเดินเต็มที่แล้วไม่ได้ ค่อยมาว่ากัน แต่ยังไงก็ต้องเดินตามวิถีประชาธิปไตย ต้องเคารพประชาชน” นั่นคือ คำพูดของ นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เปิดเผยท่าทีออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

ถามถึงกรณีที่ ส.ว.อาจมีการงดออกเสียงโหวตเลือกนายกฯ จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า หาก ส.ว.จะทำอย่างนั้นคงไปบังคับไม่ได้ ถือเป็นสิทธิ แต่ตนเชื่อว่า ส.ว.จะทำอะไรต้องคำนึงให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ซึ่งวันนี้ก็เดินมาตามวิถีที่ถูกต้องแล้ว จากผลของการเลือกตั้ง ที่ได้เห็นเจตนารมณ์ของประชาชน ดังนั้น เราทุกส่วนก็ต้องทำตามเจตนารมณ์ของประชาชนให้บรรลุเป้าหมาย

ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ก็จะเห็นบทบาทแบบนี้ของ พรรคเพื่อไทย ความหมายก็คือ ปล่อยให้พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลให้เต็มที่ เพราะรู้แล้วว่า “คงยาก” ตอนนี้จึงต้อง “ตามน้ำ” ไปก่อน ตามบทประชาธิปไตยแบบหล่อๆ

ขณะที่ในใจคิดไปอีกทาง เพราะต้องไม่ลืมว่าในความเป็นจริง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคก้าวไกล คือ “คู่แข่ง” แท้จริง ไม่ใช่ “พรรคสองลุง” หรือพรรคอื่น !!



กำลังโหลดความคิดเห็น