xs
xsm
sm
md
lg

“พิธา” เต็งนายกฯ ท่าทีเพื่อไทยพลิกขั้ว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

หลังจากหลายคนเกิดการช็อกกับผลการเลือกตั้งออกมาที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย เหนือความคาดหมาย มีที่นั่ง ส.ส.รวมทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อแบบไม่เป็นทางการ จำนวน 151 ที่นั่ง ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ได้รวมกันจำนวน 141 ที่นั่ง โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ถือว่าพรรคก้าวไกล “แลนด์สไลด์” เพราะกวาดไป 32 ที่นั่ง เหลือไว้ให้พรรคเพื่อไทย แค่ 1 ที่นั่งเท่านั้น และยังมีอีกหลายจังหวัด ที่เหนือความคาดหมาย

อย่างไรก็ดี นาทีนี้ก็ต้องมาลุ้นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ว่าหน้าตาน่าจะออกมาแบบไหน มีพรรคใดที่น่าจะมาร่วมกันบ้าง ซึ่งหากพิจารณาตาม “ขั้วการเมือง” ที่แบ่งกันเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” หรือ “เสรีนิยม” กับอีกฝ่าย “อนุรักษนิยม” โดยฝ่ายแรก มีก้าวไกล เพื่อไทย ประชาชาติ เสรีรวมไทย และล่าสุด รวมเอาไทยสร้างไทย เข้าไปด้วย

ขณะที่อีกฝั่ง มีพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น แม้ว่าในกลุ่มหลังอาจจะมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณากันเพิ่มเติม ซึ่งมองกันว่า มีโอกาส “พลิกข้ามขั้ว” ได้ไม่น้อยเหมือนกัน ยกเว้น รวมไทยสร้างชาติ เพียงพรรคเดียวเท่านั้น ที่ “ล็อกแน่นอยู่กับที่” และมีโอกาสค่อนข้างแน่ ที่จะเป็นฝ่ายค้าน ส่วนมีพรรคใดอีกบ้าง ต้องมาพิจารณากันภายหลัง

นอกเหนือจากนั้น ทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา มีโอกาสที่จะเปลี่ยนขั้วก็เป็นไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งนี่จึงเป็นที่มาสำหรับการพิจารณาในการ “จับขั้ว” กันจัดตั้งรัฐบาล

แม้ว่าในเวลานี้ พรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุด ตามหลักการก็จะเป็นผู้รวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลก่อน ซึ่งล่าสุด เมื่อตอนสายวันที่ 15 พฤษภาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ประกาศเชิญชวนอีก 5 พรรคมาร่วมรัฐบาล นั่นคือ เพื่อไทย ประชาชาติ ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย และพรรคเป็นธรรม รวมแล้ว 309 เสียง ถือว่า มีจำนวนเกินครึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 251 เสียง สำหรับรัฐบาลเสียงข้างมาก

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นขั้นตอนในการฟอร์มรัฐบาลผสม แต่สำหรับขั้นตอนก่อนหน้านั้น ต้องมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมรัฐสภาที่รวมเอาเสียงของวุฒิสมาชิกมาร่วมด้วย ซึ่งต้องได้เสียงรวมกัน 376 เสียง ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากจำนวนเสียงตามที่ นายพิธา รวบรวมได้ มีจำนวน 309 เสียง ซึ่งไม่ถึง 376 เสียง ยังขาดอีก 67 เสียง แม้ว่าเขาประกาศชิงตั้งรัฐบาล โดยมัด 6 พรรคดังกล่าวเอาไว้แล้ว โดยหวังบีบให้วุฒิสภาโหวตให้ โดยอ้างฉันทามติของประชาชน ผ่านการเลือกตั้ง

“ผมได้โทรศัพท์ไปหาแกนนำ 5 พรรค ได้โทรศัพท์ไปหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย แสดงความยินดีที่มีความมุ่งมั่นหาเสียง พร้อมเชิญชวนร่วมตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล-พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ 5 พรรคที่พูดถึง มีพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย รวมกัน 308 เสียง และกำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรม ที่เราเห็นความตั้งใจทำงานเรื่องความสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมแล้วเป็น 309 เสียง เพียงพอตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ปิดประตูตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดย 5 พรรคพร้อมพูดคุยในรายละเอียด ทั้งเรื่องคน นโยบาย แผนการทำงาน และจำเป็นต้องทำเอ็มโอยูเหมือนกับสากล ให้ประชาชนเห็นได้ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย 100 วัน และ 1 ปี จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวอีกว่า ระหว่างนี้จะจัดตั้งทีมงานเจรจาจัดตั้งรัฐบาล นำโรดแมปที่สัญญากับประชาชนมาปฏิบัติ ทำประชามติให้มี ส.ส.ร.แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและเกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และจะเดินสายพบประชาชน ข้าราชการ ภาคธุรกิจ จะดำเนินการหลังจากนี้ พร้อมเดินหน้าทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่างกับพรรคก้าวไกล จะตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด ไม่ให้มีสุญญากาศการเมือง เศรษฐกิจ ขอให้มั่นใจการทำงานพรรคก้าวไกล จะทำงานอย่างละเอียด รวดเร็ว ในส่วนการตั้งคณะทำงานจัดตั้งรัฐบาล ได้คุยกับ น.ส.แพทองธาร แล้ว โดย น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล ประชาชน และฝ่ายประชาธิปไตย บอกว่าพร้อมทำงานร่วมกันในอนาคต ถือเป็นความโปร่งใสที่แจ้งให้สื่อทราบว่า คุยอะไรกันบ้าง

นั่นเป็นคำพูดและคำเชิญชวนพรรคการเมืองอีก 5 พรรคดังกล่าว มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำและตัวเขา คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อย่างไรก็ยังไม่ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย โดยพวกแกนนำ ไม่ว่าจะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกฯ รวมถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ยังไม่มีท่าทีชัดเจน หรือตอบรับแต่อย่างใด

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้ (15 พ.ค.) กรรมการบริหารพรรคจะมาคุยกันเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานหลังจากนี้ ว่าจะดำเนินต่ออย่างไร ส่วนเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยแสดงท่าทีชัดว่า ยอมรับเสียงของประชาชน ที่ไว้วางใจพรรคก้าวไกลให้มาเป็นอันดับหนึ่ง ก็ยินดีกับพรรคก้าวไกล และยินดีที่จะให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนจะร่วมมือกันอย่างไรนั้น ในฐานะพรรคอันดับรอง ก็ต้องฟังเสียงของพรรคอันดับหนึ่ง ว่าจะมีท่าที ทิศทางอย่างไร

เมื่อถามถึงการลงนามเอ็มโอยู จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล จะมีข้อไหนที่อาจร่วมกันไม่ได้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่รู้ คือ เป็นแนวทางที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้ ซึ่งการลงนามชัดเจน ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยว่า หากร่วมกันทำงานแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง “ต้องคุยกัน ถ้าร่วมกันไม่ได้ ข้อไหน จะผ่อนคลายหรือยอมกันได้แค่ไหน คงต้องดูตรงนั้น” แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบเนื้อหาว่ามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง อาจยังตอบไม่ได้ถึงการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งเบื้องต้นที่ทราบจะเน้นไปทางการทำงานตามนโยบาย

เมื่อถามว่า หากลงนามเอ็มโอยูไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านอีกหรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องดูในรายละเอียด ตอนนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เมื่อประชาชนมอบคะแนนให้กับฝ่ายประชาธิปไตยท่วมท้นแบบนี้ เจตจำนงคงต้องการให้ฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาทำงานเป็นรัฐบาล “สิ่งนี้สำคัญกว่า จะมาคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นอะไร ไม่ใช่ว่าพอไปด้วยกันไม่ได้ แล้วต้องมาเป็นฝ่ายค้าน”

นอกจากนี้ นพ.ชลน่าน ยังได้กล่าวยืนยันในตอนท้ายก่อนจะขึ้นลิฟต์ว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้พูดคุยใดๆ กันกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และก็ไม่ได้มีดีลลับอะไร”

คือ ความชัดเจนในแบบที่ยังไม่ชัดเจนในท่าทีของพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในรายละเอียดสำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว ถือว่ายังมีโอกาสพลิกขั้วไปร่วมจัดตั้งกับขั้วรัฐบาลเดิม ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน หากพิจารณากันถึงเรื่องความเป็นคู่แข่งกันอย่างชัดเจนกับพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งคราวนี้ รวมไปถึงในอนาคตอีกด้วย และหากเพื่อไทยเข้าร่วมกับก้าวไกล ก็จะสูญเสียความเป็นแกนนำ อีกทั้งนโยบายบางอย่างที่จะต้องมาเซ็นเอ็มโอยูกัน มันก็อาจสร้างความอึดอัดได้เหมือนกัน

ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาลก่อน มันก็ถือว่าทำตามกติกา ที่พรรคอันดับหนึ่งต้องได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่หากจัดตั้งไม่ได้ หรือรวบรวมเสียงไม่พอ พรรคอันดับสอง คือ พรรคเพื่อไทย ก็มีความชอบธรรมที่จะตั้งรัฐบาล ซึ่งสูตรนี้หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะพลิกขั้วมารวมกับภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไปถึงพรรคอื่นๆ “ยกเว้นรวมไทยสร้างชาติ” โดยสูตรนี้ เพื่อไทย จะเป็นแกนนำ และมีคนของพรรคเพื่อไทยจะเป็นนายกฯ

ดังนั้น หากออกมาแบบสูตรหลังจริงๆ ก็จะผลักให้ พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับรวมไทยสร้างชาติ แม้ว่านาทีนี้สูตรหลังอาจจะเป็นไปได้น้อยกว่าสูตรแรกก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นาทีนี้ในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ และล่าสุด แม้ว่าแกนนำเพื่อไทย จะตั้งโต๊ะแถลงแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล และยืนยันว่าจะไม่ตั้งรัฐบาลแข่งก็ตาม แต่ได้ทิ้งท้ายว่า ประเด็นในการหารือ และกระบวนการต่างๆ เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกล เป็นฝ่ายดำเนินการ นี่แหละ “ชัดในไม่ชัด”!!


กำลังโหลดความคิดเห็น