xs
xsm
sm
md
lg

“โรม” ชี้ ปิดสวิตช์ ม.272 ได้ ถ้ายึดหลักการ รวมเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ต่างปี 62 ขอยึดหลักพรรคอันดับ 1 ถึงไม่ชอบ “พิธา”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รังสิมันต์” เชื่อ ปิดสวิตช์ ม.272 ได้ หากทุกฝ่ายยึดหลักการ ย้ำ สถานการณ์ต่างปี 62 ก้าวไกลรวมเสียงได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. แล้ว เตือน ส.ว. เปิดคณะทำงานสอบพิธา-ก้าวไกล เป็นธงการเมืองที่ใช้เงินรัฐ ย้ำ “ไม่ชอบพิธา ไม่เป็นไร แต่ขอให้ยึดหลักพรรคอันดับหนึ่ง”

วันนี้ (17 พ.ค.) รังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงยุทธศาสตร์การรวมเสียง ส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า เอาเข้าจริงสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำอยู่ เป็นการปิดสวิตช์มาตรา 272 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งการปิดสวิตช์มาตราดังกล่าว เป็นการเปิดให้จัดตั้งรัฐบาลตามกลไกปกติ ซึ่งบางคนอาจลืมไปแล้วว่ากลไกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

โดยเป็นการที่พรรคการเมืองรวมเสียงในสภาให้มากเกิน 250 ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ประกอบกับการที่ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงได้กว่า 310 เสียง เรากำลังมีรัฐบาลที่แข็งแรงมาก ที่สามารถผลักดันนโยบายได้ ดังนั้น สิ่งที่กำลังทำคือการคืนกลไกปกติให้กับสังคม ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน รวมถึง ส.ว. และพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อยืนยันหลักการโหวตนายกฯ เสียงข้างมาก ซึ่งผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. ได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าพรรคที่ได้อันดับ 1 เป็นพรรคไหน หากเราเคารพกติกาและเจตจำนงของประชาชน ก็สามารถไปต่อได้

ส่วนที่ ส.ว. อยากให้ ส.ส.รวบรวมเสียงให้ได้ 376 เสียง นั้น รังสิมันต์ มองว่า การปิดสวิตช์มาตรา 272 คือ ความพยายามตั้งแต่ตอนแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ แต่ความเป็นจริงแล้วต่อให้มาตรา 272 ไม่ถูกปิด แต่อีกไม่นานก็จะถูกปิด คำถามคือทำไมเราไม่สร้างบรรยากาศให้เดินต่อ สอดคล้องกับเจตจำนงของประชาชน แน่นอนว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาอยู่แล้ว แต่วัฒนธรรมทางการเมืองต้องให้พรรคอันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการที่ ส.ว.แสดงความเห็นว่าให้ไปรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมถึงไม่เคารพเสียงของประชาชนที่ไปเลือกตั้ง

“…การโหวตเลือกคุณพิธา เป็นนายกฯ ผมเข้าใจว่ามีความไม่ชอบกันอยู่ ไม่ชอบนโยบาย ไม่ชอบอะไร แต่อันนี้คือการปลดล็อกกฎหมาย เพื่อให้ความต้องการของประชาชนที่มากที่สุดได้รับการตอบสนอง อย่าสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้สุดท้าย ประเทศเกิดคำถามว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ฟังเสียงประชาชน…”

เมื่อถามว่า การโน้มน้าวฝั่งตรงข้ามง่ายกว่าหรือไม่ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ก็แสดงความคิดเห็นว่าจะช่วยโหวตเลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี รังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องพูดคุยกับทุกฝ่าย ถ้าลองดูคนที่เคยโหวตปิดสวิตช์มาตรา 272 ใน ส.ว. ก็มีหลายสิบคน นอกจากนี้ ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย ทุกฝ่ายมีส่วนที่จะสร้างบรรยากาศให้ประเทศเดินต่อได้ อยากให้มองว่า การปิดสวิตช์มาตรา 272 กับการจัดตั้งรัฐบาลเป็นคนละส่วนกัน เพราะการจัดตั้งรัฐบาลต้องลงเรือลำเดียวกัน ต้องเอานโยบายแต่ละฝ่ายเข้ามาหารือ ซึ่งการเลือกนายกฯ เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ควรมีตั้งแต่ต้น ตนไม่อยากขอร้องอะไรจากใคร แต่คือการช่วยกัน เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชน

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล แต่งตั้งใครไปพูดคุยกับ ส.ว. หรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า เรามีคีย์แมน และกรรมการบริหารพรรค ที่ต้องประชุมร่วมกัน แต่ขอยังไม่บอกว่าเป็นใคร คณะกรรมการบริหารพรรคมีการพูดคุยกันตลอดเวลาแต่การเจรจากับ ส.ว. ไม่สามารถยก กก.บห. ไปได้ทั้งชุด คงมีการยกหูโทรศัพท์พูดคุย ส่วนตัวเข้าใจว่า ส.ว.มีการประชุมกันเองด้วย พรรคก้าวไกลก็มีการเปิดรับ ซึ่ง นายพิธา ย้ำมาตลอดว่า ไม่ต้องการเป็นรัฐบาลเฉพาะของคนที่เลือกเรา แต่ต้องการเป็นรัฐบาลของคนทุกคน

เมื่อถามว่า นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบนายพิธา และพรรคก้าวไกล หลายประเด็น เช่น การถือหุ้นสื่อ และนโยบายแก้ไขมาตรา 112 นั้น รังสิมันต์ มองว่า พรรคก้าวไกลยินดีที่จะถูกตรวจสอบ แต่ไม่ต้องการให้มีจุดมุ่งหมายในการทำลายกันทางการเมือง เพราะการประชุม กมธ. เป็นกลไกของรัฐ มีการเบิกจ่ายเบี้ยประชุม จึงมองว่าไม่เหมาะสมที่ใช้ทรัพยากรของรัฐโดยมีธงทางการเมืองของตนเอง

ส่วนนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ตนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมถึงเพิ่งมาตรวจสอบทั้งที่พรรคก้าวไกลเสนอร่างกฎหมายเป็นปีๆ และกรณีถือหุ้นของนายพิธา ก็ไม่มีความกังวล เพราะ ITV ยุติการออกอากาศไปเป็นเวลานาน และมีบรรทัดฐานจากอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ การถือหุ้นเพียง 0.03% ไม่มีทางไปครอบงำสื่อได้

ส่วนที่ปี 2562 บอกว่า หาก ส.ส.รวมเสียงได้มากกว่า 251 เสียง ก็ตั้งรัฐบาลได้ แต่รอบนี้กลับแสดงความคิดเห็นต่างออกไป รังสิมันต์ เห็นว่า เขาอาจไม่คิดว่าพรรคก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งตอนพูดคงพูดไปตามหลักการ แต่พอเจอหน้านายพิธา และพรรคก้าวไกล อาจจะกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง

เมื่อถามว่า กังวลจะเป็นเดตล็อกทางการเมืองหรือไม่ หาก ส.ว. งดออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี จนพรรคก้าวไกลต้องถอยให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน รังสิมันต์ มองว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตอบคำถามนี้ ซึ่งสถานการณ์บ้านเมืองของ 4 ปีที่แล้ว กับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะ 4 ปีที่แล้ว เรารวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่ได้ แต่ครั้งนี้เกินกึ่งหนึ่งไปแล้ว ส่วนกรณีที่สองคือ ส.ว.กำลังจะหมดวาระในปีหน้า จึงเกิดคำถามว่าจะยื้อแบบนี้ไปถึงเมื่อไร และการทำให้พรรคก้าวไกลไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่มีประโยชน์อะไร

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีพรรคไหนบ้าง รังสิมันต์ กล่าวว่า วันนี้ต้องพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นหลักก่อน ส่วนมาตรา 112 ที่หลายฝ่าย มีมุมมองบางอย่างที่ไม่ตรงกันนั้น ตนเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะคุยกันไม่ได้ อย่างในเวทีดีเบตหาเสียงมีการคุยกันมากกว่าในสภาเสียอีก ตนจึงมองอย่างมีความหวัง ว่าจะมีจุดร่วมในการแก้ปัญหา

เมื่อถามว่า ในวันโหวตนายกรัฐมนตรี อาจมีการชุมนุมของประชาชน รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่มั่นใจว่า เหตุการณ์จะไปถึงขนาดนั้น ซึ่งช่วงนี้หากไปถามพรรคการเมืองแต่ละพรรคก็พอทราบว่าแต่ละพรรคจะโหวตอย่างไร เชื่อว่า ประชาชนไม่อยากลงถนน ดังนั้น อย่าให้เกิดบทเรียนแบบนั้นเลย เราน่าจะช่วยกันทำให้ผลการเลือกตั้งถูกเคารพ ส่วนจะเกิดการรัฐประหารหรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า ในค่ายทหารยังมีการโหวตให้พรรคก้าวไกล เชื่อว่า ไม่มีใครอยากเห็นการเกิดรัฐประหาร ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น