ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว “สนธิ ลิ้มทองกุล” ยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบที่ดิน “สวนชูวิทย์” จอมแถถึงกับร้องครวญคราง อ้างสังคมบังหน้า ต้านกัญชาจนถูกรุมถล่ม
เรียกว่าไปให้สุดซอยจริงๆ หลังจากที่เปิดประเด็นนำเสนอข้อมูลในเชิงลึกต่อสังคมในฐานะสื่อมวลชน กรณี “สวนชูวิทย์” หรือ ที่ดินบริเวณสุขุมวิท 10 ของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เป็นของสาธารณะหรือไม่ ? ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.) “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” พร้อมด้วย “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางนำเอกสารหลักฐานเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบ เรื่องที่ดินของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่า ที่ดินดังกล่าวได้กลายเป็นที่ดินสาธารณะไปแล้วหรือไม่ โดยมีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ลงมารับเรื่องร้องทุกข์
การเคลือนไหวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรก ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เหตุผลคือ ไม่เข้าใจ และมีความสับสน ในเรื่องที่ดิน-สวนชูวิทย์ จากที่ได้รับข้อมูลและตรวจสอบเอง และได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ทุกคนให้เหตุผลว่า สวนชูวิทย์เป็นสาธารณสมบัติไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งตรงกันข้ามกับชูวิทย์ พูด
อีกประการหนึ่ง ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปที่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตคลองเตย ชี้แจงถึงประเด็นข้อสงสัย และอยากให้ กทม. ช่วยตรวจสอบ และมีมติชัดเจนว่า จะเอายังไงกับสวนชูวิทย์ ทาง กทม. คิดว่า เป็นสาธารณสมบัติ หรือเป็นสมบัติของชูวิทย์ เบื้องต้นคล้ายกับ “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” บอกว่า เป็นสมบัติของ บริษัทของนายชูวิทย์ แต่พอตอนทำจดหมายเป็นทางการ ผู้ว่าฯ ก็เริ่มตั้งคณะกรรมการสอบสวน หลังจากนั้น อีก 7 วัน ได้ทำหนังสือไปอีกฉบับ ให้เวลา 30 วัน เพื่อให้ กทม. มีคำตอบ ซึ่ง 30 วันนั้น ได้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา วันนี้จึงมีความจำเป็นที่ต้องมาร้องต่อ ป.ป.ช. เพราะในทีมงานกฎหมายของตนเอง ยืนยันได้ว่า “สวนชูวิทย์” นั้น ตกเป็นสาธารณสมบัติอย่าง 100% พร้อมทั้งแนบฎีกา 14 ฎีกา มาให้
งานนี้ “สนธิ” ย้ำว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต อยากจะบอกถึง “นักร้อง” คนดัง “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ว่า ไม่ต้องกังวลเพราะไม่ได้มาแย่งอาชีพของพี่ศรีแน่นอน
ขณะที่ “ปานเทพ” ขยายความเพิ่มว่า เรื่องนี้เหตุการณ์ครั้งแรกปี 2546 เกิดการรื้อบาร์เบียร์บนที่ดินของชูวิทย์ ต่อมาปี 2548 เปิดเป็นสวนสาธารณะ “ชูวิทย์” ได้ยืนยันว่า ที่ดินตรงนี้เป็นของตนเองและตระกูล แต่ขอเสียสละให้เป็นสวนของ กทม. ลั่นวาจาไว้ หลังจากนั้น ศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้องจำเลยส่วนใหญ่ พิพากษาจำคุก 1 คน หลังจากนั้น วันที่ 11 ก.ย. 55 ศาลมีคำพิพากษากลับให้ ชูวิทย์และพวก 66 คน มีความผิด ฐานทำให้เสียทรัพย์และใช้กำลังประทุษร้าย และพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ปรากฏว่า วันที่พิพากษาศาลฎีกา ตรงกับวันที่ 15 ต.ค. 58 ศาลฎีกาเตรียมอ่านคำพิพากษาแล้วชูวิทย์ ก็ยื่นคำให้การเป็นแถลงใหม่เป็น 1. สารภาพ และ 2. บอกว่า สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นสาธารณะ และจะไม่ทำกิจการใดๆ อีก เป็นสวนสาธารณะแบบไม่กำหนดระยะเวลา
หลังจากนั้น “ชูวิทย์” ยื่นแถลงครั้งที่ 2 มีทั้งแผนที่ภาพถ่าย ว่า สวนสาธารณะทั้งผืนที่เป็นสวนชูวิทย์ เป็นสวนสาธารณะทั้งหมด ในที่สุดวันที่ 28 ม.ค. 59 ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา ลดโทษชูวิทย์จาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เรื่องคำรับสารภาพไม่มีผล แต่มีในเรื่องของการชดใช้เงินให้กับฝ่ายโจทก์ และผู้เสียหายจนพอใจ ชูวิทย์ ได้นำที่ดินที่เป็นข้อพิพาทมาก่อสร้างสวนสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนพักผ่อนไม่ได้นำไปก่อสร้างศูนย์การค้าย้อนยุค เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายและรายได้จำนวนมาก บ่งบอกว่า ชูวิทย์ สำนึกผิดกับสิ่งที่ได้กระทำไป ศาลจึงลดโทษให้ด้วยเหตุนี้
เมื่อ “ชูวิทย์” ออกมาหลัง 19 ธ.ค. 59 จากนั้น 1 เดือน ชูวิทย์ ได้เขียนบทความว่า ได้พยายามเยียวยาโดยเอาที่ดินมูลค่ามหาศาลทำเป็นสวนสาธารณะ ปลูกต้นไม้ ทำเป็นประโยชน์กับประชาชน ท่ามกลางศูนย์การค้า สำนักงานล้อมรอบ แทนที่จะเอาที่ดินไปหาประโยชน์ทางธุรกิจ
นี่คือ ความชัดเจนมาก ทั้งการยืนยันด้วยวาจา และลายลักษณ์อักษร!!
คำถามคือ ใครเกี่ยวข้องบ้าง ?? บริษัทของชูวิทย์ หรือลูกชูวิทย์ ผู้รับเหมา มีการออกใบอนุญาตได้อย่างไร? ใบอนุญาตออกมาถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
นี่เป็นอีกเหตุผล ที่ได้ออกมายื่นคำร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิกถอนการก่อสร้าง ดำเนินคดีคนที่บุกรุกทำลายสวนสาธารณะ และครอบครองสวนสาธารณะ เมื่อมีหนังสือออกมา 2 รอบแล้ว ก็เห็นว่า ต้องถึงเวลาดำเนินคดีความให้ ป.ป.ช. ไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอื้อประโยชน์กับ ชูวิทย์
ส่วน ป.ป.ช. เมื่อรับแล้วเรื่องแล้วจะเป็นผู้พิจารณา ก็ต้องติดตามกันต่อไป ที่แน่ๆ “จอมแฉ” ที่แฉไปไถไป ก็เคลื่อนไหวโพสต์เฟซบุ๊ก จั่วหัวว่า “รุมถล่มชูวิทย์” อ้างว่า เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะตัวเองรณรงค์ “ต่อต้านกัญชาเสรี” มาตลอดช่วงหาเสียงของพรรคการเมือง มีบรรดาเครือข่ายผู้เสียผลประโยชน์รุมถล่ม หาเรื่องส่วนตัว ตัวเองต่างๆ นานา ทั้งที่การต่อต้านเป็นไปเพื่อสังคม เยาวชน พร้อมกับโอดครวญว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” คนเคยรัก เป็นรุ่นพี่ ขัดผลประโยชน์เรื่องกัญชาไม่ได้ เป็นสื่ออาวุโสแท้ๆ แต่ทำตัวเหมือน “สื่อเด็ก“ หาเรื่องกระทั่งที่ดินส่วนตัวจะเอาที่ดินไปเป็น “สวนสาธารณะ” ให้ได้ ทั้งๆ ที่ซื้อมา
เรื่องราวและความเป็นมากระจ่างชัดมาถึงตรงนี้ ที่ “ชูวิทย์” โพสต์ จะเห็นได้ว่า ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรมาโต้แย้ง เพียงหาเรื่องแถไปวันๆ แซะด้วยวาจาบ้าๆ บอๆ เหมือนที่เคยทำมาตลอด ไม่ต่างอะไรกับเสียงครวญครางของ “สุนัขขี้เรื้อน” โดนจี้จุด แตะจุดไหนคันที่นั่น คันไปทั้งตัว
“ชูวิทย์” จะกลัวอะไรกับการตรวจสอบนักหนา ไหนว่าเป็น “สิงโต” หากมั่นใจว่า เป็นสิงโต ก็ไม่ต้องทุรนทุราย ราวหมาขี้เรื้อนสิ
อีกทั้งที่ว่า “สื่อเด็ก” หากจะเด็ก ก็คงจะเป็นชูวิทย์เสียมากกว่า เด็กที่ขี้ราดกางเกงตัวเอง แล้วเที่ยวตะโกนร้องโหวกเหวกโทษว่าคนอื่นทำ ทั้งที่ทำตัวเอง แล้วพาลเล่นละครลิงโกหกตบตา กลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ
หากคนเราไม่ได้โกหกพกลม จะกลัวอะไรกับความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว Chuweed.
**“ทักษิณ” ประกาศยอมติดคุก แค่ขอให้ได้กลับมาเลี้ยงหลาน เป็นความจริงที่กลั่นจากใจ หรือแค่หวังแลนด์สไลด์
คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร คลอด “น้องธาษิณ” แล้ว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคุกไปอยู่ต่างประเทศ ก็ได้ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า “ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊ง แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ
ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎาคมนี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ ครับ ขออนุญาตนะครับ...
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (9 พ.ค.) “ทักษิณ” ก็ทวีตอีกสองครั้งติดต่อ ครั้งแรกบอกว่า ... ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้ว ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ...
คงกลัวว่ากองเชียร์ กองแช่ง จะข้องใจว่าแล้วจะกลับมายังไง ก็มีคดีอีกเป็นหางว่าว ทั้งที่ศาลตัดสินแล้ว และยังรอการตัดสินอยู่
“ทักษิณ” ก็เลยทวีตตามมาอีกครั้งว่า “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเอง ด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว แผ่นดินเกิด และเจ้านายของเรา”
มีคำถามตามมาทันทีว่า “ทักษิณ” จะยอมกลับมาติดคุก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ บอกจะไม่ยอมติดคุกแม้แต่วินาทีเดียว...เพราะอยากเลี้ยงหลานคนที่ 7 คนนี้จริงหรือ ทำไมหลานคนก่อนๆ ไม่นึกอยากเลี้ยงเลยล่ะ...หรือจะเป็นการทิ้งไพ่ใบสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง หวังให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์
เพราะก่อนหน้านี้ ช่วงที่ “อุ๊งอิ๊ง” พักการเดินสายหาเสียง รอคลอดก็ปล่อยให้ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคอีกคน ยึดเวทีหาเสียง แต่ผลปรากฏว่า “ไม่ปัง” ถูกพรรคก้าวไกล ที่อยู่ในขั้วเดียวกันทำคะแนนตีตื้นขึ้นมา และแซงหน้าไปในที่สุด... “อุ๊งอิ๊ง” ผู้เคยเป็นเต็งหนึ่งที่คนอยากให้เป็นนายกฯ ก็ถูก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จากพรรคก้าวไกล แซงขาดไปแล้ว โดยเฉพาะจากเสียงคนรุ่นใหม่ เสียงจาก เขต 1 คนในเมืองของจังหวัดต่างๆ ที่กระแสพรรคก้าวไกลมาแรงอย่างสัมผัสได้
แม้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทั้ง “อุ๊งอิ๊ง” และ “เศรษฐา” จะออกมาพูดเรื่องจุดยืน ว่าด้วยเรื่องสถาบันฯ หรือ มาตรา 112 ว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ยกเลิก มาตรา 112 แต่เป็นเรื่องที่จะต้องพูดคุยในสภา เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทันทีที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะขอความเมตตาจากศาล ที่มีน้องๆ ติดคุกอยู่ ให้พิจารณา และกำหนดกฎหมายการลงโทษใหม่ บ้านเมืองเรามีกษัตริย์ เราต้องมีกฎหมายที่คุ้มครองท่าน แต่ไม่ใช่ให้ประชาชน เอากฎหมายนี้มาเป็นเกมการเมือง ไม่ใช่ใครฟ้องได้หมด เราต้องฟังเสียงประชาชน!!
ความระหว่างบรรทัด คือ ไม่ยกเลิก ม.112 แต่พร้อมจะแก้ไขถึงบทลงโทษ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ใครๆ ก็ฟ้องได้หมด ...ซึ่งเรื่องนี้ถ้าให้สำนักพระราชวังเป็นเจ้าทุกข์ ผู้ฟ้องร้องได้เท่านั้น ก็จะกลายเป็นว่าเป็นการดึงให้สำนักพระราชวัง มาเป็นคู่กรณีกับประชาชน ภาพของสถาบันฯ ก็คงแย่ลงไปอีก ... แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่พรรคเพื่อไทยเพิ่งมาพูดประเด็นนี้ เอาตอนนี้ ก็คงแก้ไขสถานการณ์ที่ตกเป็นรองพรรคก้าวไกล ไม่ได้แล้ว
ดังนั้น เบอร์ใหญ่อย่าง “ทักษิณ” ผู้ที่ใครๆ ก็คิดว่าเป็นเจ้าของ “ครอบครัวเพื่อไทย” ตัวจริง ต้องโดดลงมาเล่นเอง เพื่อกอบกู้สถานการณ์ ด้วยการบอกว่าจะกลับบ้านมาลี้ยงหลาน แม้จะต้องติดคุกก็ยอม
เรื่องนี้ นักข่าวได้ถาม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าคิดอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า ก็สุดแล้วแต่ท่าน สุดแล้วแต่กระบวนการยุติธรรม ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับศาล ... เมื่อถามว่ามีดีลอะไรกันหรือเปล่าจึงทำให้ทักษิณเปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้ “บิ๊กตู่” ก็ตอบในเชิงปฏิเสธว่า “เขาส่งมาทางไหน มาทางอากาศเหรอ ผมไม่ได้รับคลื่นตรงนี้กลับมา”
ขณะที่ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงปัญหาเรื่องคดีความของทักษิณ และถ้ากลับมาจะติดคุกจริงหรือไม่ หรือใช้บ้านเป็นคุก ว่าคดีของ “ทักษิณ” มีอยู่ 3 ประเภท คือ 1. คดีที่ศาลตัดสินแล้ว และทักษิณ ไม่ได้มารับโทษ 2. คดีที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน 3. คดีที่ศาลตัดสินแล้วว่าทักษิณ ไม่มีความผิด ดังนั้น ต้องดูว่าคดีของ ทักษิณ เข้ากลุ่มไหน ซึ่งก็ต้องดำเนินการไปตามคดีประเภทนั้นๆ
คดีที่ศาลตัดสินให้จำคุกแล้ว กลับมาก็ต้องติดคุก จะไปยื่นขอประกันตัวไม่ได้ ต้องรับโทษอย่างเดียว คือต้องต้องเข้าสู่การควบคุมตัวของทางราชการ ...ส่วนที่ รมว.ยุติธรรม คนที่แล้ว เคยให้ข่าวว่ามีแนวคิดที่ให้ควบคุมตัวนักโทษที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นที่เรือนจำ โดยประกาศให้เสมือนเป็นเรือนจำ เรื่องนี้เป็นแค่นโยบาย ยังไม่มีการดำเนินการอะไร ผู้ต้องโทษจึงต้องเข้าสู่สถานควบคุมของทางราชการ จะควบคุมตัวที่บ้านไม่ได้
ส่วนเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1. การขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ หรือผู้ต้องโทษเป็นรายบุคคล ซึ่งสามารถยื่นขอได้ตั้งแต่วันแรก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพระราชอำนาจ และความประสงค์ของผู้ยื่นขอ ส่วนจะได้หรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และ 2. การขอพระราชทานอภัยโทษ โดยการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งจะต้องมีการรับโทษก่อนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า เดือน ก.ค.นี้ “ทักษิณ” จะกลับมาหรือไม่ ...แต่เฉพาะหน้าต้องดูว่า การประกาศเช่นนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ หรือจะกลายเป็นการไปดึงพลังเงียบ ให้ออกมาเติมคะแนนให้ฝ่าย “ลุงตู่” เพราะไม่ต้องการเห็นทักษิณกลับมาสร้างปัญหาอีก !!