กกต.จับมือหลายฝ่าย รับมือถูกโจมตีทางไซเบอร์ “แสวง” เผย สั่ง ผอ.กกต.ทั่วประเทศ คุมเข้มไม่ให้ซ้ำรอยเลือกตั้งล่วงหน้า ชี้ รทสช.ยิงเลเซอร์หาเสียง ไม่อยู่ในบังคับเรื่องป้าย จึงเป็นหน้าที่เจ้าของสถานที่อนุญาต หรือไม่
วันนี้ (9 พ.ค.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวในการแถลงข่าวความร่วมมือการเฝ้าระวังระบบการเลือกตั้ง ว่า กกต.ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและตอบสนองภัยคุกคามทางไซเบอร์สำหรับระบบเลือกตั้ง โดยได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการเฝ้าระวังและแก้ปัญหาการคุกคามทางไซเบอร์ ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการ รักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อเฝ้าระวังป้องกันความเสี่ยง และรักษาความมั่นคงปลอดภัยทั้งไซเบอร์ ป้องกันการโจมตีกับระบบที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งกกต. เช่น แอปพลิเคชั่น “smart vote” แอปฯ “ตาสับปะรด” เว็บไซต์สำนักงาน กกต. และ เว็บ กกต.จังหวัด ฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยติดตามตลอด 24 ชั่วโมง จนถึงวันเลือกตั้ง ในวันที่ 14 พ.ค. นี้
“อยากให้ประชาชนมั่นใจในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ย้ำว่า หน้าที่ของ กกต.คือ การธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเครื่องมือสำคัญคือการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ และประชาชนเป็นเจ้าของการเลือกตั้ง กกต.ตั้งความหวังเอาไว้สูงเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าสังคมจะรู้สึกหรือมองเราอย่างไร แต่สิ่งที่เราตั้งใจทำ คือ การให้มีสนามแข่งขันที่เป็นธรรมในการเลือกตั้ง มีความเสมอภาคทุกพรรคการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส นี่คือเป้าหมายที่อยากให้เกิดขึ้น”
นายแสวง กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ยอมรับว่า มีข้อผิดพลาด สำนักงานฯได้รีบแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในวันที่ 14 พ.ค. โดยได้ส่งหนังสือแจ้งทุกจังหวัดให้ซักซ้อมกับกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ในการทำงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อำนวยความสะดวกกับประชาชน ดูแลการปิดประกาศให้ครบถ้วน ชัดเจน และรักษาอย่าให้ใครมาทำลาย หรือนำมาเป็นประเด็น ทำให้เกิดความสับสนว่ากกต.ดูแลไม่ดี หรือทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ ตลอดจนการนับคะแนน การรายงานผล ผู้อำนวยการเลือกตั้งต้องติดตามใกล้ชิด ให้คำแนะนำให้ปฏิบัติและดูแลผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างถูกต้อง หากเกินกำลัง ให้ส่งมายัง กกต.ส่วนกลางซึ่งมีการตั้งคลินิก กปน.รองรับ
“กกต.ยืนยันว่า จะรักษาคะแนนเสียง ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งไปแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา หรือที่จะลงในวันที่ 14 พ.ค.ที่กำลังจะมาถึงนี้ ไม่ว่าท่านลงให้ใคร พรรคไหน คะแนนนั้นก็จะได้กับคนนั้น ผมหวังว่าสถานการณ์ไปจนถึงวันเลือกตั้งน่าจะเป็นไปด้วยดี เราต้องรักษาสนามประชาธิปไตยไว้”
เมื่อถามว่า เสียงวิจารณ์ต่อกรณีการจ้างผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งที่ค่าใช้จ่ายจะรวมเป็นค่าใช้จ่ายของพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งว่า กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองส่งผู้สังเกตการณ์ได้ตามมาตรา 55 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 โดยพรรคการเมืองที่ประสงค์ส่งผู้สังเกตการณ์ให้แจ้งต่อ กกต. 15 วัน ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะเป็นของพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองใช้วงเงิน 44 ล้านบาทหมดไปแล้ว อาจอาศัยช่องทางผู้สมัครแบ่งเขตของพรรคการเมืองนั้น ส่งผู้สังเกตการณ์มาดูแลแทน โดยผู้สังเกตการณ์ที่พรรคแจ้งชื่อมา กกต.จะจัดให้นั่งด้านในหน่วยเลือกตั้ง กรณีที่ส่งมาเองก็จะอยู่ด้านนอก แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนที่มีการทักท้วงว่า กกต.เคยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 41 แต่กฎหมายยกเลิกไปแล้ว ยืนยันว่าสิ่งที่กกต.ทำเป็นไปตามกฎหมาย แต่ทุกคนก็สามารถมีช่องทางสังเกตการณ์ได้ตามปกติ
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นอีก จะคาดโทษใครหรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นวันที่ 7 พ.ค. หรือวันที่ 14 พ.ค. ได้ให้ผอ.ทุกจังหวัดรายงานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกหน่วย ซึ่งจะมีบันทึกเหตุการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่ 8:00 น จนถึงการนับคะแนน เช่น หากขานคะแนนผิด แล้วมีข้อทักท้วง ก็จะต้องบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ หรือกรณีนายชูวิทย์ ระบุนั้นตนได้ส่งเรื่องไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เพื่อให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ ดังนั้น นอกจากการบันทึกเหตุการณ์ที่หน่วยแล้ว ให้ตรวจสอบกรณีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวด้วยว่าจริงหรือไม่ แก้ไขอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ ยิงแสงเลเซอร์หาเสียงบริเวณเสาหลักกลางของสะพานพระราม 8 นายแสวง กล่าวว่า ได้ฟังจากข่าว เป็นเรื่องของเจ้าของพื้นที่ ซึ่งการติดป้ายหาเสียงติดอยู่ในพื้นที่ของรัฐทั้งนั้น ทั้งตามถนน เสาไฟฟ้า แต่ต้องขออนุญาต กรณีพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ดูแล้วเป็นการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ตามข้อ 7(7) เป็นการหาเสียงกึ่งอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการหาเสียงลักษณะดังกล่าวได้มีหนังสือแจ้งไปยังทุกพรรคการเมืองแล้วว่าไม่อยู่ภายในการบังคับเรื่องป้ายหาเสียง แต่ขอให้เจ้าของสถานที่เป็นผู้อนุญาต ซึ่งเรื่องนี้ทาง กทม.ได้ตรวจสอบแล้ว กรณีมีคนร้องให้ กกต.กทม.วินิจฉัย ก็ต้องวินิจฉัย แต่จะให้ตนวินิจฉัยตอนนี้คงยังไม่ได้เพราะยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพียงแต่ฟังมาว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น
ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ กกต. เปิดเผยข้อมูลผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า จำแนกเป็นรายเขต เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆ สามารถตรวจสอบย้อนกลับ ได้ รวมถึงให้จัดทำข้อมูลหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศเป็นไฟล์ Excel นั้น นายแสวง กล่าวว่า ขอรับไว้พิจารณา.