ไม่ตื่นเต้น! “จตุพร” เหน็บ “เพื่อไทย” เยียวยาโควิด-บำนาญ ปชช. ชาวบ้านยังได้เยอะกว่า แจกเงินดิจิทัล เตือน ระวังทำระบบการเงินพัง “ทนายนกเขา” ชี้ ประเด็นข้อกังขา นโยบายหาเสียงที่ซ่อนเร้นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 เม.ย. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “แจ่มแจ้ง” ช่วงหนึ่งกล่าวถึงนโยบายใช้เงินดิจิทัลในรัศมี 4 กม.ของเพื่อไทย ว่า ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ เพราะเงินบาทก็ควบคุมพื้นที่ได้ โดยนโยบายเพื่อไทยให้เงิน 10,000 บาทกับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้ในเวลา 6 เดือน คิดแล้วจะมีเงินใช้จ่ายต่อวันเพียง 55 บาทเท่านั้นเอง
ถ้าเทียบกับนโยบายเบี้ยบำนาญประชาชนที่หลายพรรคเสนอนั้น จะเฉลี่ยได้ใช้วันละ 100 บาท หรือปีละ 36,000 บาท อีกทั้งเงินเยียวยาช่วงโควิดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะชั่วจะดีก็ตาม ยังให้มากกว่าเพื่อไทยในระยะเวลา 6 เดือนเทียบเท่ากัน
“ดังนั้น การให้เงินใช้ จึงไม่ใช่อะไรใหม่เลย แต่เงินดิจิทัลวอลเล็ตกลับจะไปทำลายโครงสร้างระบบเงินของประเทศ และถ้ามีคนในกระบวนการทำนโยบายไปเกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายในโลกสมมตินี้ จึงมีทั้งได้และเสีย แต่คนที่เสียจริง คือ ประชาชนเหมือนเป็นแมงเม่าเข้าไปในตลาดหุ้น เหมือนพนันออนไลน์ไม่แตกต่างกัน เพราะทุกอย่างเป็นการเสกสร้าง จึงไม่จีรังเหมือนสกุลเงินบาท”
นายจตุพร สงสัยว่า การคิดเงินดิจิทัลตามพื้นที่และตามบัตรประชาชนในรัศมี 4 กม. มีเหตุผลอะไรจึงต้องใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต ถ้าต้องการจะให้ประชาชน เงินไม่ได้มากมายอะไรเลย ดังนั้น จึงไม่ควรตื่นเต้นในด้านจำนวนเงิน แต่ต้องตื่นเต้นในความเสียหายของระบบการเงินประเทศที่ไม่มีการรองรับ แล้วยังจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีก
“เราจึงไม่ต้องการให้ประเทศเดือดร้อน แล้วยังจะทำให้กลุ่มเจ้าสัวได้ประโยชน์ทับซ้อนเหมือนที่ผ่านมาตามเดิม ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กกต. ซึ่งมีผู้รู้มากมายต้องออกมาพูดให้ชัดเจน เรียกพรรคเสนอนโยบายมาชี้แจงอย่างรอบด้าน”
ขณะเดียวกัน นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “แจ่มแจ้ง” เช่นกัน ว่า ระบบเงินดิจิทัลที่พรรคเพื่อไทยเสนอ เป็นนโยบายหาเสียงที่ซ่อนเร้นผลประโยชน์ส่วนตัวและแฝงอันตราย ทำให้ระบบการเงินของประเทศล่มสลายได้
นายนิติธร หรือ ทนายนกเขา กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองเสนอนั้น ถือเป็นนโยบายสาธารณะ เพื่อสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังมีการซ่อนเร้นนโยบายผลประโยชน์ของพรรคที่แฝงทำให้ดูเหมือนเป็นนโยบายสาธารณะเข้ามาด้วย เพื่อมาอาศัยคะแนนนิยมจากประชาชนเป็นเครื่องมือผลักดัน ซึ่งจะนำไปสู่ความแตกแยก และเกิดผลร้ายกับประเทศได้
สิ่งสำคัญ เห็นว่า กรณีนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น มีนโยบายน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งกับนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกนำเสนอผ่านระบบความคิดของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ แต่ยังไม่แจ่มแจ้งเพียงพอ
ดังนั้น พรรคเพื่อไทย ควรชี้แจงให้ชัดเจนถึงเงินที่นำไปใส่กระเป๋าหรือถึงเงินดิจิทัลนั้น เป็นเงินประเภทไหน เอางบประมาณมาจากไหน จำนวนเงินใส่ลงไปสูงถึง 10,000 บาท จะเป็นค่าเงินอะไร เหรียญคริปโตอะไร สิ่งเหล่านี้ประชาชนควรรับรู้จากนโยบายประชานิยมใหม่ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ นายนิติธร กล่าวว่า การให้ใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตร แจกจ่ายให้ประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจำนวน 10,000 บาท โดยให้เงินนี้นำไปค้าขายในพื้นที่ของตัวเอง โดยผู้ขายสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทได้
“นั่นหมายความว่า เงินเริ่มต้น (10,000 บาท) ใส่ไปในกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้น ไม่ไช่เงินบาท แล้วเป็นไปตามวิธีการงบประมาณหรือไม่ ถูกกฎหมายเงินตราหรือไม่ มีการรับรองการทำผิดกฎหมายหรือไม่ แล้วทำไมจึงมีระบบเงินซ้อนขึ้นมาให้ประเทศ อีกทั้งระบบเงินเหรียญต่างๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ยังไม่เปิดช่องให้เกิดขึ้น”
ยิ่งกว่านั้น นายนิติธร ยังกังขาว่า ระบบเงินดิจิทัลจะนำไปตอบสนองอาณาจักรการเงินของตัวเองหรือไม่ โดย ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนเกี่ยวข้องกับ บริษัท ไฟแนนซ์ ที่ทำกิจการกับเงินเหรียญที่ไม่ใช่สกุลหลักของประเทศใด แต่เป็นโลกของบล็อกเชน (Blockchain-ศูนย์การกระจายเงิน Bitcoin และสกุลเงิน Crypto) ซึ่งไม่มีหลักประกัน สามารถโยกย้ายแกนกลางได้ และที่สำคัญคือ ล่มสลายลงได้
รวมทั้งเห็นว่า นายเศรษฐา เคยจะให้นำเหรียญดิจิทัลมาซื้อขายบ้านจัดสรรของตัวเอง สิ่งสำคัญกังขาว่า พรรคเพื่อไทยกำลังทำระบบการเงินใหม่ของประเทศหรือไม่ ต้องการสร้างระบบแลกเปลี่ยนการเงินใหม่ของประเทศหรือไม่? ซึ่งยังไม่มีกฎหมายไหนรองรับ
“จึงมีโอกาสสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติและเป็นการแทรกแซงสร้างรูปแบบการเงินการคลังของประเทศขึ้นมาใหม่ อาจส่อถึงการกระทำความผิด รธน.ทั้ง ม.113 และ ม.116 โดยการทำลายระบบการเงิน การคลังของประเทศก็เป็นปัญหาใหญ่ได้เช่นกัน และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้อหาการกบฏ”
นายนิติธร เสนอว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรเร่งสอบสวนนโยบายของพรรคเพื่อไทยในส่วนนี้ให้ชัดเจน ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ใครมากล่าวร้อง เพราะเป็นความคิดที่อันตราย และการกระทำแบบนี้จะกระทบกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ เท่ากับได้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็จะได้ระบบการเงินใหม่เลย แต่ระบบกฎหมายยังไม่ได้แก้ไขใหม่มารองรับ
“นั่นหมายความว่า เมื่อเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะแก้ไขระบบกฎหมายตรงนี้หรือไม่ อีกทั้งทักษิณยังมีร่องรอยเป็นหุ้นส่วนสำคัญของบริษัทไฟแนนซ์ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนบางแห่งเข้าร่วมขบวนการ จะก่อวิกฤตการเงินของประเทศในรูปแบบใหม่ได้ ดังนั้น นโยบายที่ประชาชนยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่นำเสนอในรูปแบบผลประโยชน์เชิงนโยบายสาธารณะ ย่อมแฝงอันตรายไว้อย่างน่ากังวลยิ่ง”...