ข่าวปนคน คนปนข่าว
**สัญญาณจูบปาก! เมีย“บิ๊กกี่” เพื่อนรัก “ลุงป้อม” นั่งปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ลำดับ22 การันตีเก้าอี้ส.ส. “จตุพร” ชี้ใบเสร็จ “โครงการทุนแลกเปลี่ยน”
สร้างความฮืฮฮาไม่น้อย เมื่อรายชื่อผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์)ของพรรคเพื่อไทย ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ ตอนยื่นใบสมัครต่อ กกต. เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่าลำดับที่ 22 ซึ่งถือว่าเป็นเซฟโซน การันตีได้นั่งเก้าอี้ ส.ส.แน่นอน เป็นชื่อของ “เจ๊อร” นางประวีณ์นุช อินทปัญญา ภรรยาของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา หรือ “บิ๊กกี่” ส.ว.เพื่อนรัก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง
ความซี้ปึ๊ก ระหว่าง “บิ๊กกี่” กับ “ลุงป้อม” มีมาตั้งแต่ครั้งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 (ตท.6) ตอน พล.อ.ประวิตร มีอำนาจสูงสุดในกองทัพในตำแหน่ง ผบ.ทบ.เมื่อปี 2547 พล.อ.นพดล ก็ได้เป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รมว.กลาโหม
หลังการรัฐประหารปี 2557 “บิ๊กกี่” ก็ได้เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นเลขานุการ รมว.กลาโหม ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่ พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน และได้รับการคัดเลือกจาก คสช.ให้เป็นส.ว.ในที่สุด ซึ่ง“ลุงป้อม” เองก็เคยบอกกับสื่อมวลชนว่า “บิ๊กกี่” เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่เป็นตัวแทนคสช.อยู่ในวุฒิสภา
เมื่อต้นเดือนก.พ.59 “บิ๊กกี่” ในวัย 72 เข้าพิธีมงคลสมรสกับ เจ้าสาววัย 40 ปี ที่ชื่อ “ประวีณ์นุช เลิศจิตติสุทธิ์” ที่มีชื่อเล่นว่า “อร” และเป็นน้องภรรยาของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่ขณะนั้นยังอยู่พรรคเพื่อไทย โดยในการเปิดตัวภรรยาของ “บิ๊กกี่” ครั้งแรกนั้นก็มีพล.อ.ประวิตร เป็นประธานสักขีพยาน
จนปัจจุบัน “เจ๊อร” ในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิในทรัพย์สินทุกอย่างของ พล.อ.นพดล
จะว่าไป “ประวีณ์นุช” ก็มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยอยู่ก่อนแล้ว เพราะมักจะปรากฏภาพไปไหนมาไหนกับ “นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด” ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อยู่เป็นประจำ ขณะที่พล.อ.นพดล ก็ไปมาหาสู่บ้านของนางพวงเพ็ชร อยู่เสมอ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ “เจ๊อร” ได้อยู่ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 22 ซึ่งเชื่อขนมกินได้เลยว่า ได้เข้าสภาแน่ๆ จากเป้าหมายส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้ที่ 50 ที่นั่ง และนักวิเคราะห์การเมืองเชื่อว่า จะได้อย่างน้อย 40 ที่นั่ง
ด้วยเหตุฉะนี้ เมื่อข่าวรู้ไปถึงหูของ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. แกนนำคนเสื้อแดง ที่แยกตัวออกมาตั้ง “คณะหลอมรวมประชาชน” “ตู่ จตุพร” จึงฟันธงผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ รายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ว่า นี่เป็น “ใบเสร็จการเมือง” ที่เป็นหลักฐานร่องรอยแสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย จะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
“ตู่ จตุพร” ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมพล.อ.นพดล ผู้เป็นสามีของชื่อปาร์ลิสต์ที่ 22 และเป็นเพื่อน พล.อ.ประวิตร จึงไม่ฝากเมียลงพลังประชารัฐ และทำไมจึงมาลงพรรคเพื่อไทย แล้วพล.อ.นพดล สนิทกับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หรือสนิทกับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคหรืออย่างไร
พร้อมฟันธงว่า นี่คือการเดินเกม เช่นเดียวกับก่อนการยึดอำนาจปี 2557 และหลังยึดอำนาจ เป็น “โครงการทุนแลกเปลี่ยน” กันอยู่แล้ว ลองดูหลังการยึดอำนาจ สำนักงานของ พล.อ.ประวิตร มีใครอยู่บ้าง ใครเป็นเจ้าภาพดูแล แล้วใครที่เป็นคนของพล.อ.ประวิตร ข้ามมาคุยกับซีกพรรคการเมืองนี้ตลอด
“ตู่ จตุพร” ชี้ว่า การวางตัวปาร์ตี้ลิสต์เป็นสิ่งอธิบายกันอย่างชัดเจน ดังนั้น การที่ “ทักษิณ ชินวัตร” พูดว่าการยกตำแหน่งนายกฯ ให้คนอื่นเป็นความโง่ แต่ครั้งนี้เปลือยกายล่อนจ้อน กันอย่างรวดเร็ว เพราะเริ่มมีร่องรอยให้เห็น และการพูดถึงการจับมือกับพลังประชารัฐว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้” แล้วมีสร้อยนโยบายร่วมกันได้ จึงไม่มีความหมายใดๆ เลย
อีกทั้งย้ำว่า ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 22 ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องความชอบพรรคการเมือง ดังนั้นคำพูด “อะไรก็เกิดขึ้นได้” แล้วมาอ้างนโยบาย จึงเชื่อว่า คนพวกนี้ไม่ทำตามคำพูดที่ประกาศไม่จับมือพลังประชารัฐ แต่ท้ายที่สุดก็จับมือโดยจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดก็ตาม เพราะเริ่มแสดงออกแบบไม่อยู่กับร่องรอยกันแล้ว จนเก็บอาการไม่อยู่
“ตู่ จตุพร” บอกว่า ละครโรงนี้มีเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น จึงอยู่ที่ประชาชนว่า จะขว้างอะไรใส่โรงละครโรงนี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถึงจะโกหก แต่มันเห็นเส้นทางการเมือง พอมาเป็นข้ออ้าง หรือเอาเงื่อนไขนโยบายมาอ้างเหตุการณ์จับมือกัน ซึ่งไม่มีอยู่เลย จึงสะท้อนถึงอาการบอกทิศทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“การประกาศไม่จับมือก็มีสองอย่างคือ ยกตำแหน่งนายกฯ ให้ แล้วเป็นพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อมีมือสองคือ มือพลังประชารัฐกับก้าวไกล เพื่อไทยจะจับมือกับใคร ผมเล่นทางจับมือกับ พล.อ.ประวิตร เพราะข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์แล้ว อีกทั้งต้องการความคุ้มครอง แล้วอยู่ดีๆ มาลำดับที่ 22 ถ้าไม่มีอะไร เพื่อไทยจะให้หรือ มาจากไหน ชื่อยังไม่ได้ยินเลย”
นั่นเป็นการวิเคราะห์ของ “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำมวลชนของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่กลายมาเป็น “คนรู้ทันทักษิณ” มากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย ส่วนจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ อีกเดือนเศษก็คงรู้กัน
** ข่าวลือยุบ 3 พรรคการเมืองหนาหู ให้จับตาดูหลังสงกรานต์
เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มร้อย หลังกกต.เปิดรับสมัครส.ส.เขต - ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ รู้แล้วว่าบรรดาพรรคใหญ่นั้นมีใครบ้างที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ
ตอนนี้พรรคการเมืองต่างก็จัดโปรแกรม เดินสายหาเสียง เปิดเวทีปราศรัยใหญ่กันอย่างคึกคัก ... อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงเย็นวันนี้ (7 เม.ย.) ก็จะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค ทั้ง 33 เขต ที่ บริเวณลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง สวนเบญจกิติ โดย “ลุงตู่”ในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรค จะขึ้นเวทีปราศรัยด้วย ...ส่วนประชาธิปัตย์ ก็จะเปิดเวทีใหญ่ที่ลานคนเมืองหน้าศาลาว่าการ กทม.เช่นกัน
นอกจากบรรยากาศการหาเสียงแล้ว คอการเมืองเมื่อเจอหน้ากัน ก็มักจะถามถึงความเป็นไปได้ว่า หลังเลือกตั้งจะได้ใครเป็นรัฐบาล เป็นขั้วเดิม ขั้วตรงข้าม หรือขั้วผสม ...
อีกองค์กรทางการเมืองที่มีการพูดถึงกันมากคือ กกต. ผู้มีบทบาทในการจัดการเลือกตั้ง รับรองผล แขวนว่าที่ส.ส. แจกใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม รวมไปถึงพิจารณาชงเรื่องให้ศาลรธน. ยุบพรรคการเมือง ซึ่ง กกต.ชุดนี้มี “อิทธิพร บุญประคอง”เป็นประธาน
มีการวิเคราะห์กันว่า ขั้วรัฐบาลเดิมแม้จะเสียเปรียบในเรื่อง“กระแส” แต่เรื่องอื่นๆไม่ได้เสียเปรียบเลย โดยเฉพาะการที่ยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ก็จะพยายามรักษาอำนาจอย่างเต็มที่
ถ้า “พรรคเพื่อไทย” ไม่แลนด์สไลด์ จนกระทั่งมีเสียงส.ส.ตั้งนายกฯได้ คือ 376 เสียง ก็อาจถูกขั้วอำนาจฝั่ง “ลุงตู่” ชิงตั้งนายกฯก่อนได้ ...
การตั้งนายกฯจะสำคัญที่สุดของการฟอร์มรัฐบาลครั้งนี้ และมือของ 250 ส.ว.จะได้ใช้ประโยชน์อย่างจริงจังก็คราวนี้
นั่นคือ ส.ส.126 เสียง บวกส.ว.250 เสียงก็ตั้งนายกฯได้แล้ว !!
อาจมีคนแย้งว่าการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แค่เสนอกฎหมายการเงินอย่าง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ก็ถูกคว่ำใน
สภาแล้ว ไปไม่รอด!!
แต่ต้องไม่ลืมว่า อำนาจการยุบสภาอยู่ในมือนายกฯ ถ้าร่างกฎหมายถูกคว่ำ นายกฯก็ยุบสภาไปเลือกตั้งก็ใหม่ ...ก็เพิ่งเลือกตั้งเสร็จมาหมาดๆ เพิ่งลงทุน ลงแรง เหนื่อยแทบตาย นักการเมืองกลัวยุบสภากันทั้งนั้น
แล้วธรรมชาติของนักการเมืองไทย จะวิ่งเข้าหาอำนาจ อยากอยู่ฝ่ายรัฐบาล มีนายกฯแล้ว หาส.ส.มาเพิ่มจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ยิ่งถ้ามีผู้สมัครส.ส.ที่ชนะเลือกตั้ง แต่ถูกร้องเรียนว่าทำผิดกม.เลือกตั้ง และอยู่ระหว่างการพิจารณาของกกต. ตรงนี้ก็จะมีคนวิ่งเข้าไปเจรจาต่อรอง
ตามกฎหมาย กกต.ต้องรับรองส.ส.ให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 95 ของส.ส.ทั้งหมด จึงจะทำการเปิดสภาได้ และมีกรอบเวลาของการพิจารณา 60 วัน ถ้ายังตัดสินไม่ได้ ให้กกต.รับรองไปก่อน แล้วยื่นศาลสอยทีหลัง ถ้าผิดจริง
เท่ากับว่าในกระบวนการตั้งรัฐบาล มีเวลาให้ ล็อบบี้ เจรจาต่อรองถึง 60 วัน
ยังมีบท “เหี้ยม” คือยุบพรรคแล้วให้ ส.ส.หาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ...และเรื่องยุบพรรค ก็มีการพูดถึงกันมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพราะยุบให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว ...ก็มันเข้าข้อกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง ทำตัวเองแท้ๆ !!
เรื่องยุบพรรคนี้ “ไพศาล พืชมงคล” อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ก็เพิ่งออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ข่าวลือยุบ 3 พรรค ที่จะเริ่มเคลื่อนตัวหลังสงกรานต์นั้นหนาหูขึ้นทุกวัน ทำให้ กกต. ถูกสังคมจับตามองในแง่ลบ...
หากไปตรวจดูคำร้องยุบพรรคที่มีการยื่นต่อ กกต. แล้ว จะเห็นว่ามีหลายพรรคที่ถูกร้องเรียนว่าทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง อย่างเช่น
“พรรคเพื่อไทย” ถูกร้องเรื่อง “ทักษิณ ชินวัตร” ไลฟ์ในวงสนทนาของกลุ่ม CARE ตอบโต้คนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรคเพื่อไทย ปมขึ้นค่าแรง 600 บาท เข้าข่ายยอมให้บุคคลไม่เป็นได้สมาชิกพรรค ชี้นำ ครอบงำพรรค...ยังมี กรณี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานการด้านมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย ปราศรัยที่ จ.อุดรธานี บอกจะพา ทักษิณ ชินวัตร บิดา กลับบ้าน ...ล่าสุดก็เรื่องตั้ง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ” ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เป็นผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งไม่เข้าลักษณะผู้ช่วยหาเสียง เข้าข่ายครอบงำพรรคมากกว่า
“พรรคพลังประชารัฐ” ถูกร้องเรื่อง “ตู้ห่าว” นักธุรกิจจีนสีเทา บริจาคเงินเข้าพรรค 3 ล้านบาท เมื่อปี 64
“พรรคก้าวไกล” ถูกร้องเรื่อง เสนอนโยบายเกี่ยวข้องกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบบประชาธิปัตย์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข... ยังมีกรณี แต่งตั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” , “ปิยบุตร แสงกนกกุล” และ “พรรณิการ์ วานิช”ซึ่งเป็นผู้ที่ศาลรธน.ตัดสิทธิทางการเมือง10 ปี เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค
“พรรครวมไทยสร้างชาติ” จากกรณี “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” แกนนำพรรค ปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการปราศรัยใหญ่ ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ.
พรรคการเมืองที่กล่าวมาเหมือนถูกจับเป็นตัวประกันไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า กกต.จะมีมติอย่างไร หากเห็นว่าผิด ก็ส่งศาลรัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้องไปรองลุ้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาแล้วมีมติออกมาอย่างไร
การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร ...ศึกชิงบ้านชิงเมือง ไม่อำมหิต ไม่เหี้ยม ไม่ได้ !!