เมืองไทย 360 องศา
ในทางการเมืองนาทีนี้ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. หรืออดีตคนเสื้อแดง ที่เวลานี้ผันตัวเองมาเป็นวิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวการเมือง โดยเฉพาะการเมืองภายในพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่ามีความเป็นไปได้มากเหมือนกัน
เพราะเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่สอดคล้องกับผลสำรวจที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมา ที่ออกมาตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำ มีโอกาสได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด แต่เชื่อว่าไม่มีทางแลนด์สไลด์ตามเป้าหมายใหม่ จำนวน 310 ที่นั่งอย่างแน่นอน สำหรับสาเหตุที่บรรดากูรูทั้งหลายมองตรงกันก็คือ เพราะพรรคเพื่อไทยเจอ “กระดูกชิ้นโต” ก็คือ พรรคก้าวไกล ที่ถือว่ากลายเป็นพรรคคู่แข่งอย่างชัดเจนที่สุด
จากมุมมองของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยังมองว่า พรรคก้าวไกลยังมีความแข็งแกร่ง และมีการเติบโตอย่างมั่นคง รวมไปถึงพรรคไทยสร้างไทยที่พยายามสร้างทางเลือกใหม่ขึ้นก็ยิ่งเป็นตัวตัดคะแนนได้อย่างดี
นายจตุพร ประเมินว่า ถึงที่สุดแล้วเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่จะได้เสียงจำนวนเท่าไร ยังไม่ชัดเจน ส่วนการประกาศบัญชีรายชื่อน่าสนใจมีอยู่ 2 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ลำดับที่ 10 และลำดับที่ 22 นางประวีณ์นุช อินทปัญญา เมียของพล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนสนิทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นมือประสานและรู้จักแกนนำเพื่อไทยอย่างดี เมื่อเมียมาอยู่เพื่อไทย มีโอกาสได้เป็นส.ส.แน่ๆ จึงน่าสนใจ
พร้อมทั้งกล่าวถึง นายชัยเกษม เมื่อมาลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในลำดับที่ 10 แล้ว จึงไม่น่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามของเพื่อไทย ดังนั้น แคนดิเดตนายกฯ คนที่สามอาจมีดีลพิเศษสำคัญอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ จึงไม่ควรประมาทว่าจะไม่มีใครอีก
ส่วนนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ คนที่สองของเพื่อไทย เสนอนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหาร แต่ถูกสื่อโซเชียลฯโจมตีกรณีลูกชายสองคนยังไม่เกณฑ์ทหาร แต่นายเศรษฐา โชว์ใบ สด.9 ยืนยันผ่านการเกณฑ์ทหารนั้น ตนเห็นว่า ใบ สด.9 เป็นเพียงใบแสดงการขึ้นทะเบียนทหารของชายไทย ที่อายุครบ 17-18 ปี ไม่ใช่ใบผ่านการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นใบ สด.43
“เมื่อมาสำแดงใบ สด.9 คนก็หัวเราะกันทั้งเมือง เพราะไม่ใช่ใบผ่านเกณฑ์ทหาร จึงเป็นความผิดพลาดในการต่อสู้อย่างรุนแรง ดังนั้นนายเศรษฐา ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเข้าตัว ยิ่งเป็นการปล่อยไก่ เพราะใบ สด. 9 เป็นเครื่องยืนยันว่า ยังไม่ได้เกณฑ์ทหาร อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่อนผัน หรือเลยเวลาผ่อนผันแล้ว สัสดีในพื้นที่ควรทำความจริงให้ปรากฏ”
อีกทั้ง เห็นว่า เมื่อนายเศรษฐาพูดถึงการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ยังถูกย้อนว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับคนในครอบครัวตัวเอง เรื่องแบบนี้ผู้อาสามาเป็นผู้นำประเทศต้องหมดจดด้วย หากสำแดง สด.9 แต่ยังไม่เกณฑ์ทหารอาจเข้าข่ายหนีทหารได้ จึงสะท้อนถึงการปล่อยไก่ว่า นี่หรือคนจะมาเป็นนายกฯของไทย
นายจตุพร ประเมินการหาเสียงของเพื่อไทยว่า ยังไม่มีอะไรบ่งชี้จะได้เสียงแลนด์สไลด์ เพราะพรรคก้าวไกลยังมีเสียงแข็งแรงมาก จึงสะท้อนว่า แลนด์สไลด์ของเพื่อไทยคงไม่เกิดขึ้น ยิ่งพรรคไทยสร้างไทย สร้างทางเลือกที่สามขึ้นมาได้ ก็จะเป็นอุปสรรคและลดเสียงเพื่อไทยไปได้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้พรรคก้าวไกลยังไม่แผ่ว ยังเติบโตอย่างมีระบบ และมีนัยยะสำคัญอยู่
“เมื่อก้าวไกลยังไม่แผ่วแล้ว ผมเชื่อว่าเพื่อไทยจะเดินไปถึง 310 เสียงยากมาก และไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย แต่ทางการเมืองนั้น ในซีกของฝ่ายที่เรียกเป็นประชาธิปไตย จะรู้ผลชัดเจนในสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนการลงคะแนน”
การประเมินแบบนี้ถือว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะหากเชื่อในเรื่องการเมืองที่ยังมั่นคงในแบบ “สองขั้ว” นั่นคือ “ฝ่ายเอาทักษิณ” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขั้วนี้ก็ต้องรวมไปถึงพรรคก้าวไกล อย่างที่รับรู้กันดี และยังหมายรวมไปถึงพรรคไทยสร้างไทย ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แม้แยกตัวออกมา แต่ก็มาจากฐานเดียวกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาจากพรรคเพื่อไทย ที่เป็นระดับแกนนำและคนสำคัญ โดยเฉพาะ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถึงขั้นประกาศ “ตัดญาติ” ไม่มีพรรคพี่พรรคน้องเรียกร้องให้ “เลือกให้ชนะขาด” หรือเลือกแบบยุทธศาสตร์ ท่าทีแบบนี้มันก็เหมือนกับการ “ตามเก็บคืนมาทุกเม็ด” นั่นเอง
อีกด้านหนึ่งการประกาศแบบนี้มันก็เหมือนกับการ “รู้ชะตากรรม” แล้วว่าบรรยากาศกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รับรู้ว่าฐานคะแนนนิยมกำลังกระจายออกไป โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยโหวตให้กับพรรคอนาคตใหม่เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 เมื่อครั้งพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ แต่มาจนถึงบัดนี้ฐานเสียงที่เคยเทออกไปก็ยังไม่กลับมา โดยเฉพาะในกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” รวมไปถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกก็ยังมีแนวโน้มสนับสนุนพรรคก้าวไกลที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคมากกว่าเพื่อไทย อีกทั้งคนพวกนี้ไม่เคยรับรู้ไม่เคยรู้จัก นายทักษิณ ชินวัตร ที่เคยมีบทบาทเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขาอาจมองเห็นว่า คนในพรรคเพื่อไทยเป็นเพียงผู้สูงอายุคนละแนวทางไปเสียอีก
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน ที่ต้องมาเจอคู่แข่งสำคัญอย่าง พรรคภูมิใจไทย ที่กวาด “บ้านใหญ่” ไปอยู่ในมืออีกหลายจังหวัด กลายเป็น “ตัวตัดแต้ม” ที่ยังแก้ไม่ตก ถึงต้องบอกว่า งานนี้กลายเป็นว่าฝ่ายที่ต้องลุ้นหนักมากกว่าใครกลับกลายเป็นพรรคเพื่อไทยนั่นแหละ เพราะอย่างที่รู้กันว่า “เป้าหมายต้องสูงล้ำ” เท่านั้น อย่างน้อยของจริงก็ต้องให้ได้เกิน 200 ที่นั่งเอาไว้ก่อน ซึ่งนาทีนี้ถือว่ายากมาก ไม่ต้องไปฝันถึงแลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง เพราะนั่นคือ “ฝันกลางวัน”
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันแบบเข้าใจพรรคเพื่อไทย และเข้าใจ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้อง “หวังสูง” เอาไว้ เพราะต้องยอมรับความจริงพวกเขาไม่มีเสียง ส.ว.ที่เป็นแต้มต่อตุนเอาไว้เหมือนกับพรรคร่วมรัฐบาลในกลุ่ม “สองป.” ที่กุมความได้เปรียบตรงนี้เอาไว้ล่วงหน้า
ดังนั้นนาทีนี้สำหรับพรรคเพื่อไทยถือว่า “เหนื่อยหนัก” ที่สำคัญกลายเป็นว่าพรรคก้าวไกลนี่แหละที่เป็น “กระดูกชิ้นโต” เป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายใหญ่ เพราะในความเป็นจริงก็คือ “ฐานเสียง” เดิมที่แตกออกไปก็ยังไม่อาจดึงกลับมาได้ มิหนำซ้ำยังถูกพรรคไทยสร้างไทยแบ่งออกไปอีก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพรรคภูมิใจไทยที่แซะกินพื้นที่เข้าในในภาคอีสานหลายจังหวัดแข็งแกร่งกว่าเดิมเข้าไปอีก !!