xs
xsm
sm
md
lg

"คีรี-ชูวิทย์" เชิญไล่บี้ "อัศวิน-บิ๊กป๊อก" คำให้การ"กรุงเทพธนาคม" ชัด! สัญญาBTS ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทวงหนี้ไม่ได้ **สองขั้วมุ่งป่ารอยต่อฯของลุงป้อม ภูมิใจไทยผนึกกำลัง... “สามมิตร” กราบลา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**"คีรี-ชูวิทย์" เชิญไล่บี้ "อัศวิน-บิ๊กป๊อก" คำให้การ"กรุงเทพธนาคม" ชัด! สัญญาBTS ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทวงหนี้ไม่ได้

คำถามคาใจ ทำไมกทม.ไม่จ่ายหนี้ “คีรี” ? และใครแกล้ง “บีทีเอส” ?

จากวันก่อนที่ “คีรี กาญจนพาสน์” ประธานกรรมการบริษัท BTSC เรียกร้องให้รัฐบาลชำระหนี้จำนวน 50,000 ล้านบาท โดยโอดครวญว่า ตั้งแต่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” มาเป็นผู้ว่าฯกทม. ไม่เคยได้รับชำระหนี้จากกทม.เลยจนมูลหนี้จากเกือบๆ20,000 ล้าน พอกหางหมูขึ้นมาเป็นกว่า 50,000 ล้าน


ฟังดูแล้วให้ชวนน่าเห็นใจ “เจ้าสัวคีรี” แต่ฟังความก็ต้องฟังทั้งสองข้าง เรื่องนี้ “กรุงเทพธนาคม” ได้เคยลงคำชี้แจงต่อศาลฯ ถึงกรณีที่ บีทีเอส ฟ้องเรียกหนี้ในเว็บไซต์ของบริษัทฯพาดหัวข่าวเอาไว้ว่า ..“กรุงเทพธนาคม” แจงศาลฯ สัญญาจ้าง “บีทีเอส” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย!

รายละเอียดแจกแจงไว้ดังนี้

... เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566 บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด แจ้งว่า จากที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้ทนายความตัวแทนของบริษัทฯ เข้ายื่นคำให้การต่อศาลปกครอง ในคดีที่ 2 ซึ่งบริษัทบีทีเอส ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) และกรุงเทพธนาคม เพื่อให้ชำระหนี้ค่าเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เป็นจำนวนเงิน 10,600 ล้านบาท โดยศาลปกครองจะส่งสำเนาคำให้การของกรุงเทพธนาคม ไปให้ บีทีเอสเร็วๆ นี้ ตามขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงเหตุผลหักล้างกันต่อไป

คีรี กาญจนพาสน์
สำหรับการยื่นคำให้การครั้งนี้มีประเด็นสำคัญที่บริษัทฯ ได้นำเรียนให้ศาลเห็นถึงข้อเท็จจริงในการจัดทำสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้

1.) สัญญาระหว่างบริษัทฯ กับบีทีเอส นั้น นำมาสู่ข้อพิพาทระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกัน ไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

2.) บริษัทฯ ไม่มีอำนาจเข้าทำสัญญาว่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 25 ม.ค.2515 ในข้อ 4 ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการรถราง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มท.) เท่านั้น เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บุคคลใดประกอบกิจการได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ก็ไม่เคยได้รับการอนุญาตจาก รมว.มท.

3.) สัญญาจ้างที่บริษัทฯ กระทำกับบีทีเอส เป็นสัญญาที่ไม่ชอบ เพราะจงใจจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาที่ฝ่าฝืนมติครม. ขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ อาทิ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุฯ เรื่องการงบประมาณ ตลอดจนพ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งตามหลักกฎหมายนั้น ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน กล่าวคือบริษัทฯ ไม่มีอำนาจนำเอางานที่รับจ้างกรุงเทพมหานคร ไปทำสัญญาจ้างกับบุคคลอื่นตามอำเภอใจได้

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
4.) การที่บริษัทฯ ไปทำสัญญาว่าจ้างบีทีเอสให้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยตรง โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นที่อาจเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ ย่อมส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ

5.) การฟ้องคดีของบีทีเอสในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะบีทีเอสทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ได้ด้วยตนเอง แต่บีทีเอส ยังสมัครใจเข้าทำสัญญากับบริษัทฯ ซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าทำสัญญาได้ แล้วจึงกลับมาฟ้องบริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นคดีนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

“ประแสง มงคลศิริ” กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยด้วยว่า คำให้การในคดีที่ 2 นี้ มีความสมบูรณ์กว่าในคดีแรก ซึ่งศาลได้ปิดสำนวนไปในช่วงที่ผู้บริหารกรุงเทพธนาคมชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่เร่งหาข้อเท็จจริงเพียง 2 เดือน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ว่า บีทีเอส จะฟ้องคดีใหม่มาอีก จึงได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบเอกสาร รวบรวมข้อเท็จจริงเชิงลึกโครงการกว่า 30 ปี ตลอดจนข้อกฎหมายที่รอบด้านกว่าคดีแรกอย่างมีนัยสำคัญ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทกรุงเทพธนาคมว่าไว้อย่างนี้ และ ที่ “คีรี” บอกว่า “พวกคุณเล่นงานผมถึงขนาดนี้เลยหรือ หยุดกลั่นแกล้งกันได้แล้ว” ถามว่า ใครแกล้ง บีทีเอส ? จริงๆแล้วก็สามารถหาคำตอบได้ใน “คำให้การ” ข้างต้น

เมื่อกลัดกระดุมผิดมาตั้งแต่แรก ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเม็ดต่อๆไป จะเป็นอย่างไร คำถามที่จะตามมาจากนี้ก็คือ เมื่อกรุงเทพธนาคม ที่เป็นผู้บริหารจัดการสาธารณูปโภค และบริการสาธารณะของกรุงเทพมหานคร ฟันธงว่า สัญญาจ้าง “บีทีเอส” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะนำไปสู่การเป็น “ โมฆะ” หรือ “ยกเลิก” สัญญาจ้างของ BTS หรือไม่ ?

ถามอีกว่า หนี้ 50,000 ล้าน ของ “เจ้าสัวคีรี” จะไปตามบี้ที่ใคร ? มีคนแนะนำเจ้าสัวให้ลองไล่ย้อนขึ้นไปทวงถามที่ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” อดีตผู้ว่าฯกทม. คนก่อนหน้า “ชัชชาติ” และ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาดไทย เพราะสัญญามันเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

และ เพื่อให้เสียงดังโหวกเหวกมากขึ้น ก็ต้องไหว้วาน “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คนเมาแสง มาลุยถั่วช่วยอีกแรงปะไร ไหนๆก็ไหนๆ ต่อสู้สายสีส้มถล่มภูมิใจไทยมาด้วยกัน ถึงเวลามาเปิดวอร์ ทวงหนี้ ...ทวงถาม “อัศวิน-บิ๊กป๊อก” กันให้มันส์ไปเลยเจ้าสัว แอนด์ Chuweed.

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
** สองขั้วมุ่งป่ารอยต่อฯของลุงป้อม ภูมิใจไทยผนึกกำลัง... “สามมิตร” กราบลา

ได้เวลานับถอยหลังสู่การยุบสภา คือไม่เกิน 22 มี.ค.นี้ จากนั้นก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเต็มรูปแบบ

ในสถานการณ์งวดเข้าสู่ “ศึกชิงอำนาจ” จะเห็นได้ว่าทุกพรรคขับเคี่ยว ต่อสู้กันอย่างไม่เกรงใจกัน ไม่สนใครมิตร ใครศัตรู มุ่งอย่างเดียวคือเป้าหมายให้ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การเป็นแกนนำ และ“พลังต่อรอง”ในช่วงจัดตั้งรัฐบาล

สองวันก่อนก็บังเอิญมีภาพตั้งใจหลุด เป็นวงรับประทานอาหารกลางวันระหว่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับคณะแกนนำพรรคภูมิใจไทย นำโดย “หัวหน้าหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค รวมถึง “หลา” ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ที่ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ ฐานบัญชาการของ “ลุงป้อม”

แม้จะไม่มีการระบุถึงหัวข้อการพูดคุย แต่ก็ตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณทางการเมือง

จะเกี่ยวกับ “รถไฟฟ้าสายสีส้ม” ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เซ็นเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม. แต่ถูก “ลุงตู่” สั่งถอนออก ...จะเป็นการประกาศ “ขั้วใหม่” ทางการเมืองหรือเปล่า เพราะ “ลุงป้อม”ชูแนวทางก้าวข้ามความขัดแย้ง พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เช่นเดียวกับท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ก็พร้อมจะร่วมก้าวข้ามความขัดแย้งเช่นกัน ความหมายคือ พร้อมจะข้ามขั้วไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ก็ได้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร่วมรับประทานอาหาร กับแกนนำพรรคภูมิใจไทย
หรืออาจมองได้ว่าเป็นการปรับทุกข์กันระหว่างคนที่ถูก “ลุงตู่กระทำ” ให้ช้ำใจ ในหลายๆเรื่อง ทั้งที่ร่วมรัฐนาวาเดียวกันมาตลอด 4 ปี ... ในส่วนของ “พี่ป้อม”นั้นถูก “น้องตู่” ด้อยค่า ริบอำนาจ ไม่ให้ดูแลทหาร ตำรวจ ให้ดูแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ตอนแยกพรรคก็ยังดึงส.ส.ไปร่วมเป็นนั่งร้านให้ตัวเองอีก...

...ส่วนภูมิใจไทยนั้น เป็นเด็กดีที่อยู่ในโอวาทมาโดยตลอด ก็ยังมาโดนหัก โดนแทง ทั้งเรื่องกัญชาทางการแพทย์-เศรษฐกิจ จนร่าง พ.ร.บ.กัญชา ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภา ต้องตกไป... ขึ้นเงินค่าป่วยการ อสม.ก็ถูกเคลมว่าเป็นผลงานของ “ลุงตู่” แถมยังปล่อยให้ “ชูวิทย์” มาทิ้งบอมบ์ใส่การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม ในการดูแลของพรรคภูมิใจไทยอีก

แม้ “ลุงป้อม” จะบอกว่า การกินข้าวกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงการพูดคุยปกติ ไม่มีเรื่องการเมือง และปฏิเสธการเรื่องการจับขั้วการเมืองใหม่ ระหว่างพลังประชารัฐ กับภูมิใจไทยก็ตาม แต่ก็ยังมีความระหว่างบรรทัดว่า “เมื่อกินข้าวด้วยกัน ก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว”

ขณะที่ “อนุทิน” บอกว่าก็มีพูดคุย แลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์การเมืองบ้าง เพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว แต่ไม่ได้คุยถึงการจับขั้วการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันทั้งพรรคภูมิใจไทย กับพรรคพลังประชารัฐ เป็นขั้วเดียวกันคือ ขั้วรัฐบาลอยู่แล้ว และไม่ใช่เป็นการสร้างภาพข่มขู่คู่แข่ง ...หากครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล เงื่อนไขแรก คือ จะบอกพรรคร่วมรัฐบาลว่า ร่างกฎหมายกัญชาต้องผ่าน เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน!!

สมศักดิ์ เทพสุทิน และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ากราบลา พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ
เสร็จจากการกินข้าวกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย วันถัดมา มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ก็มีคิวต้อนรับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” สองแกนนำกลุ่มสามิตร ที่มากราบลา “ลุงป้อม” เพื่อไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย โดยมีแกนนำพลังประชารัฐอย่าง วิรัช รัตนเศรษฐ-สันติ พร้อมพัฒน์ -ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั่งพูดคุย และรับประทานอาหารร่วมกัน ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งอย่างที่คาดกัน

“ลุงป้อม” บอกว่า เมื่อเขามาร่ำลา ก็ได้แต่บอกให้เขาไปดี ตามใจเขา คนจะมา จะไป ไม่มีใครไปบังคับได้ ถือว่าจากกันด้วยดี ตนเองไม่ไปทะเลาะกับใครอยู่แล้ว เพราะก้าวข้ามความขัดแย้งแล้ว

ส่วนจะมีโอกาสได้เจอกับ “สมศักดิ์-สุริยะ” ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง หรือไม่ “ลุงตู่”บอกว่า ไม่รู้ เป็นเรื่องของอนาคต

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าหากหลังเลือกตั้ง “พรรคเพื่อไทย-พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” ร่วมรัฐบาลกัน “ลุงป้อม”ก็ได้ร่วมงานกับ “กลุ่มสามมิตร”แน่

หรือไม่อีกที ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบหลังการเลือกตั้ง เพราะถูกร้องเรียนไว้หลายเรื่องเหลือเกิน บรรดาส.ส. ก็ต้องหาพรรคสังกัดใน 30 วัน ตอนนั้น กลุ่มสามมิตร อาจจะหวนกลับมาพลังประชารัฐ อีกครั้งก็เป็นได้


กำลังโหลดความคิดเห็น