xs
xsm
sm
md
lg

สายสีส้มเวอร์ชันไม่ใส่ไข่เจือสี งานนี้ชัดพอมั้ย? “Chuweed” **พี่น้องสอง ป. “ป้อม-ตู่” มีทั้งกระหนุงกระหนิง หยิกแกมหยอก แอบทิ่มแทงกันบ้างในบางโอกาสก็มีให้เห็น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคนคนปนข่าว

**สายสีส้มเวอร์ชันไม่ใส่ไข่เจือสี งานนี้ชัดพอมั้ย? “Chuweed”

การคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งได้ผู้ชนะและปัจจุบันอยู่ระหว่างการนำเสนอ ครม.เห็นชอบ เพื่อลงนามในสัญญา แต่ก็มีวิบากกรรมในตอนนี้ เพราะมีคน “รับงาน” ออกมาโหวกเหวก ร้องแรกแหกปาก ว่า มี “เงินทอน 3 หมื่นล้าน” พยายามทำทุกวิถีทางสกัดขบวนรถสายนี้

อันที่จริงการประมูลสายสีล้ม ล่าช้ามาแล้วกว่า 3 ปี และในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา ก็มีประเด็นร้องเรียนมากมายจากผู้พ่าย ฟ้องร้องไปที่ศาล ล้มประมูล และเปิดประมูลกันใหม่ เขย่ากันจนสิ้นสงสัย โดยในเวลานั้น “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” จอมแฉ ยังไม่เกิด เพิ่งจะเกิดอยากจะแฉเอาเมื่อไม่นานมานี้

คำถามคงไม่ต้องตอบกันแล้วว่า อดีตเจ้าของอาบอบนวด “ทำเพื่อใคร?” ความจริงประจักษ์แก่สังคมอยู่แล้ว และในประเด็นที่ “ใส่สี ตีไข่” เอาแค่เรื่องเงินทอน 3 หมื่นล้าน “ชูวิทย์” ก็พลิ้วไปว่า ประมูลกันยังไม่เสร็จ แล้วจะมีเงินทอนได้อย่างไร

พูดไปไร้ความรับผิดชอบก็ไม่ต่างกับ “ผายลม” แต่สังคมก็ควรรู้ว่า “ความจริงมีหนึ่งเดียว”

นั่นก็คือว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ได้ผ่านขั้นตอนการประมูล จนบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้ชนะแล้ว

ชนะโดยที่ “ชูวิทย์” กล่าวหาว่ามีทุจริต และเรียกเงินสนับสนุนจากรัฐแพงกว่าอีกเจ้าที่ “ชูวิทย์” ก๊อบบี้เอกสารร้องเรียนส่ง “ลุงตู่” นั่นล่ะ

ประเด็นนี้ BEM ผู้ชนะได้ยื่นข้อเสนอด้านการเงินจะขอสนับสนุนค่างานโยธาจากรัฐ จำนวน 91,500 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะทยอยจ่ายคืนภายในเวลา 8 ปี และในส่วนการเดินรถจะแบ่งรายได้ให้รัฐจำนวน 10,000 ล้านบาท

หมายความว่า ถ้าคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันที่รัฐบาลต้องสนับสนุนเท่ากับ 78,288 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในการให้บริการเดินรถ ช่วง 10 ปีแรก BEM จะตรึงราคาค่าโดยสารให้ถูกเท่ากับสายสีน้ำเงิน ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน คือ ประมาณ 17-44 บาท รวมเป็นเงินที่ BEM ต้องรับภาระประมาณ 13,000 ล้านบาท

เงื่อนไขและข้อเสนอ ถามว่าเป็นประโยชน์กับรัฐและประชาชนหรือไม่ วิเคราะห์กันได้ในข้อเท็จจริง

ว่าไปแล้ว ธุรกิจรถไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในประเทศไทย ประมูลและก่อสร้างกันมาแล้วหลายสาย มันคงเป็นไปไม่ได้ ที่อยู่ดีๆ ที่สายสีส้มจะบิดเบือนไปจากหลักการที่เป็นอยู่ ทำให้เกิดการทุจริตแบบที่ “ชูวิทย์” พยายามดรามา

พูดให้เข้าใจง่ายๆ มีแค่ 2 ประเด็น

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
ข้อแรก การคัดเลือกเอกชนครั้งนี้มีกติกาที่ทำกันมาแล้วในหลายโครงการ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเอื้อให้ “BEM หรือ ช.การช่าง” รายเดียว

TOR ของ รฟม.ก็กำหนดไว้ชัดเจน เปิดกว้างว่า ผู้ยื่นข้อเสนอต้องมีประสบการณ์เดินรถและก่อสร้าง โดยผู้เดินรถมาจากประเทศใดก็ได้ ส่วนผู้ก่อสร้างต้องมีผลงานก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือลอยฟ้า อุโมงค์ และรางในประเทศไทย โดยผู้ก่อสร้างอาจเป็นนิติบุคคลรายเดียว หรือกลุ่มนิติบุคคลร่วมกันเพื่อให้มีผลงานครบทั้ง 3 ประเภทก็ได้ ซึ่ง TOR ลักษณะนี้ ทำกันมาเป็นปกติ ถูกต้องตามกฎหมายในงานต่างๆ ของรัฐ

แน่นอนว่า “ช.การช่าง” มีผลงานครบทั้ง 3 ประเภท สามารถเป็นผู้ก่อสร้างรายเดียวให้ BEM ได้ แต่ผู้ก่อสร้างรายอื่นก็สามารถร่วมกันเป็นกลุ่มนิติบุคคลร่วมประมูลได้

เคยมีคนคำนวณไว้ว่า บริษัทๆ หนึ่ง สามารถที่จับกับบริษัทรายอื่นๆ ได้กว่า 200 วีธี!

ข้อต่อมา ประเด็นที่ว่า มีเอกชนบางรายทำได้ถูก ขอสนับสนุนต่ำกว่า BEM ขอรัฐแค่ 9,000 ล้านบาท ทั้งที่ผลการศึกษาราคากลางของรัฐ อยู่ที่ประมาณ 85,000 ล้านบาท

ในทางปฏิบัติ ธุรกิจรถไฟฟ้าทุกสายที่ทำกัน เอกชนทุกรายพูดกันโดยตลอดว่า รัฐต้องสนับสนุนงานโยธา ไม่งั้นโครงการก็ไปไม่รอด

สายสีน้ำเงิน รัฐลงทุนค่าก่อสร้างกว่าแสนล้านบาท สายสีเขียวส่วนแรก รัฐให้เอกชนลงทุน สุดท้ายเอกชนขาดทุนต้องเข้าแผนฟื้นฟู จนทำส่วนต่อขยาย รัฐจึงต้องมาลงทุนก่อสร้างอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท

สายสีเหลือง สีชมพู รัฐก็ต้องสนับสนุนค่างานโยธาสายละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และล่าสุดคือ รถไฟฟ้า 3 สนามบิน รัฐก็ต้องสนับสนุนค่างานโยธาประมาณ 1.2 แสนล้านบาท

เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า เมื่อมาถึงสายสีส้ม กลับบอกว่าจะขอสนับสนุนแค่ 9 พันล้าน ทั้งที่งานโยธามีมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท
ถามว่าทำได้อย่างไร?

หรือหากทำได้ก็แสดงว่ารถไฟฟ้าสายอื่นทุกสายที่ทำกันมา รัฐบาลศึกษามาผิดหมด !

และหากจะบอกว่า รัฐต้องสนับสนุนค่าก่อสร้างก่อน และในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า จะแบ่งเงินให้รัฐเป็นแสนล้าน ทำให้โดยรวมแล้วรัฐสนับสนุนเพียงเล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่สังคมต้องคิดว่า ข้อเสนอแบบนี้เหมาะสม และทำได้หรือไม่ ไม่ใช่พูดแต่ว่าถูกกว่า ร้องกาๆๆๆ ไปวันๆ

งานนี้ชัดพอมั้ย Chuweed.

**พี่น้องสอง ป. “ป้อม-ตู่” มีทั้งกระหนุงกระหนิง หยิกแกมหยอก แอบทิ่มแทงกันบ้างในบางโอกาสก็มีให้เห็น

วันก่อน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เขียนจดหมายน้อย เผยความในใจว่าด้วยเรื่อง “ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย” โดยยกเอาประสบการณ์ บทเรียนทางการเมือง การแย่งชิงอำนาจมาตีแผ่ พูดถึงวงจรอุบาทว์ ที่นักธุรกิจการเมืองเข้ามาหาประโยชน์ กับ การปฏิวัติรัฐประหาร ส่งผลให้การเมืองแบ่งฝ่าย 2 ขั้ว เป็นฝ่าย “อำนาจนิยม” กับ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
“ลุงป้อม” ชี้เปรี้ยงว่าพอถึงการเลือกตั้ง พรรคสาย “อำนาจนิยม” ก็จะพ่ายแพ้ต่อพรรคในแนวทาง “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกครั้ง แม้ว่าฝ่ายอำนาจนิยมจะสร้างกติกา แต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเอง อย่างเอาเป็นเอาตาย แค่ไหนก็ตาม สุดท้ายก็ยังแพ้ เพราะประชาชนไม่เอาด้วย

เมื่อ “ลุงป้อม” มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเอง จึงประกาศเดินหน้าในแนวทางประชาธิปไตย ให้เสียงของประชาชนเป็นใหญ่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง เสนอตัวเข้ามาเป็นคนกลางในการดึงสองขั้ว ให้มาร่วมกันทำงานให้กับประเทศชาติ

ก่อนทิ้งท้ายว่า ขอให้เชื่อผมสักครั้ง ผมจะทำให้ได้ และเชื่อว่าจะทำได้ดีกว่าใคร

ความระหว่างบรรทัดที่พูดถึงการปฏิวัติรัฐประหาร พูดถึงการสร้างกติกา ตั้งคนมาคุมกลไกเพื่อสืบทอดอำนาจ คนที่ได้อ่านจดหมายน้อยนี้ ก็จะเห็นหน้าของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรครวมไทยสร้างชาติ ลอยเด่นขึ้นมาทันที

เมื่อนักข่าวเจอหน้า “ลุงตู่” ก็ถามถึงเรื่องนี้ทันที ว่าได้อ่านจดหมายน้อยของ “ลุงป้อม” หรือยัง ...อ่านแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ ใครจะเขียนก็เขียนได้ทั้งนั้นแหละ ก็คิดเอาเองแล้วกัน...“ลุงตู่” ตอบ

แล้วที่ “ลุงป้อม” พูดถึงเรื่องอำนาจนิยม พูดถึงรัฐประหารล่ะ .... โอ๊ย มันตั้งแต่ปีไหนมาแล้ว ผมมายืนตรงนี้ ผมมายืนด้วยอะไร รัฐธรรมนูญไม่ใช่หรือ ด้วยระบบสภา ไม่ใช่หรือ แล้วช่วงก่อนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ลองคิดดูสิ ถ้ามันไม่มีอะไรที่ทำให้ความขัดแย้งลดลง มันจะเกิดอะไรขึ้น ถึงวันนี้เราจะยืนอยู่แบบนี้ได้หรือเปล่า ทุกคนต้องคิด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...

มีการมองกันว่าถ้าท่านนายกฯไม่ได้กลับมา เมื่ออีกฝ่ายเป็นรัฐบาลก็จะเกิดความวุ่นวาย โอกาสรัฐประหารก็จะเกิดขึ้นอีก... “ลุงตู่” สวนทันทีว่า ใครจะรัฐประหารล่ะ ...แล้วใครจะทำ ใครจะทำ ผมถาม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ประเทศควรมีรัฐประหารอีกหรือไม่ “ลุงตู่” ตอบว่า...ผมเคยพูดมาตั้งนานแล้ว ว่ามันครั้งสุดท้ายแล้วครั้งโน้น มันไม่ควรจะมีอะไรได้อีกแล้ว ถ้าขัดแย้งกันรุนแรง ผมก็ไม่รู้มันจะแก้ปัญหาด้วยอะไร ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่เกี่ยวแล้ว...

“ลุงตู่” ยังเชื่อว่าที่มีการพูดถึงรัฐประหารในช่วงใกล้เลือกตั้งเช่นนี้ ก็เพื่อดิสเครดิตตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย!!

มองว่า “ลุงป้อม” เปลี่ยนไปหรือไม่...เขาเป็นพี่ผมเหมือนเดิมแหละ ไม่มีอะไรหรอก แต่ที่ออกมาอย่างนี้เพราะมีคนช่วยจัดให้

แล้วที่ “ลุงป้อม” ชูจุดขายเรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งล่ะ... “ลุงตู่” ตอบว่า แล้วมันขัดแย้งตอนไหน ตอนนี้ เรื่องขั้วอำนาจ ขั้วอะไร ผมไม่มีขั้วสักขั้ว คิดกันเองหมด ตอนนี้ความขัดแย้งมันไม่มี จะมีตรงไหน ผมไม่เห็นมีอะไรขัดแย้ง แต่ถ้าความเห็นต่าง โอเค รับได้ ถ้าความขัดแย้ง มันต้องต่อยตีกันสิ ใช่ไหม

ถามว่า มองอย่างไรกับการที่นายกฯ พยายามจะสู้บนระบอบประชาธิปไตย ตามกติกา แต่ก็มีคนพยายามลากนายกฯ ออกมาเล่นนอกกติกา “ลุงตู่” ตอบว่า ...อ้าว เรื่องอะไรผมจะให้เขาลากออกไปเล่า ผมก็อยู่ในกติกาของผม กติกาของประชาธิปไตย วันนี้จากต่างประเทศประเมินประเทศไทยอันดับขึ้นเรื่องประชาธิปไตย ดูตรงนั้นสิ โลกลงคะแนนกันมาแล้วคะแนนเราสูงขึ้นแล้ว มาบอกว่าเราไม่มีประชาธิปไตยตรงไหน ผมไม่เข้าใจ...

นั่นคือ ความเห็นและท่าทีของ “ลุงตู่” ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยม และกำลังตกเป็นเป้า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่ให้ได้อยู่ในอำนาจต่อไป ช่วงนี้อารมณ์จึงออกอาการหัวร้อนง่าย ...ขนาดกับ “พี่ป้อม” ที่ว่าพยายามเก็บอาการแล้ว คำพูดตอบโต้ยังดุเดือดใช่ย่อย

ก็ขนาดเห็นนักข่าวมาทำข่าวตนเองน้อย ยังออกปากถามว่าทำไมมากันน้อย นักข่าวต้องชี้แจงว่า ช่วงนี้พรรคการเมืองเขาลงพื้นที่หาเสียงกัน นักข่าวบางส่วนก็ต้องติดตามไปก็เลยน้อยลงไปบ้าง

...เข้าใจแหละว่าคนกำลังเครียด จะมองอะไรก็ไม่รื่นรมย์ ไม่เป็นบวก


กำลังโหลดความคิดเห็น