xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ “ชูวิทย์” ตีกิน “เศรษฐา” แฉข้างกายมี “ขงเบ้ง” จับแพะชนแกะ ทั้งที่จริง “เสี่ยเบ้ง” กับแคนดิเดตเพื่อไทย เกี่ยวดองกัน **“ลุงป้อม” เผยความในใจ บอกขอให้เชื่อผมสักครั้ง จะพาก้าวข้ามความขัดแย้ง ดึง 2 ขั้วมาทำงานให้ประเทศชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** เมื่อ “ชูวิทย์” ตีกิน “เศรษฐา” แฉข้างกายมี “ขงเบ้ง” จับแพะชนแกะ ทั้งที่จริง “เสี่ยเบ้ง” กับแคนดิเดตเพื่อไทย เกี่ยวดองกัน

มาต่อเนื่องกับเรื่อง “ความจริงมีหนึ่งเดียว” เพื่อจับโกหก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” จอมแฉกันต่อ

นอกจากพูดจาตลบตะแลง กรณีเรื่อง “เงินทอน” การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่เปิดฉากเล่าได้ตื่นเต้นเร้าใจว่า เขาโอนเงินกัน 30,000 ล้าน ผ่านแบงก์ HSBC ที่สิงคโปร์ โดยโอ้อวดไปล่วงรู้ด้วยความสามารถพิเศษของตนเอง กำความลับถึงขั้นพร้อมเปิดเลขที่บัญชีให้ดู แต่พอถูกร้องหาหลักฐานกลับพาลเปลี่ยนคำพูดว่า “ก็ประมูลยังไม่เสร็จ จะมีเงินทอนได้ยังไง!!”

งงในงง ว่า เป็นคนๆ เดียวกันพูดหรือนี่? ตามมาด้วย การร้องโหวกเหวกกล่าวหา “สุชาติ” ...กรรมการ ป.ป.ช.ขาดคุณสมบัติ ได้แต่งตั้งเข้ามาคงเพราะอภินิหาร มิหนำซ้ำ “สวนกุหลาบคอนเนกชัน” จะทำให้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” หลุดคดีที่ ป.ป.ช. เรื่องนี้ก็โดนตบปากด้วยความจริงที่ว่า “สุชาติ” เป็นผู้มีคุณสมบัติครบ และกรรมการ ป.ป.ช.เป็นตำแหน่งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

เรียกว่า อดีตเจ้าพ่ออ่างเอ่ยอ้างเรื่องใด เรื่องนั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น

รวมไปถึงเอาเรื่องความเป็นอยู่ภายในคุกของผู้เฒ่าเล่าเรื่อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” มาขยี้ กะให้มีประเด็น VVIP ความไม่เท่าเทียมกันเพื่อหวังผลให้อีกฝ่าย “คนนินทา หมาดูถูก” แต่กรมราชทัณฑ์แจกแจงความจริง ยืนยัน VVIP ในคุกไม่มี ไม่มีใครจะนอนห้องแอร์ สูบบุหรี่ ดูทีวี มีแต่ “ชูวิทย์” ที่มโนโป้ปด!!

เรื่องมโน และ ใส่ไคล้คน “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ณ ตอนนี้ กลายเป็นคนยืนหนึ่ง เพียงเพื่อให้ได้ “แสง” และ “งาน” มาพร้อมๆ กัน ก็พร้อมจะ “เล่นใหญ่” ให้สมราคา “จอมแฉ” ที่ถูกอวยยศ

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” เจ้าของแสนสิริ บริษัทอสังหาเบอร์ต้นๆ ของวงการธุรกิจ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย และถูกคาดหมายจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อดีตเจ้าของอาบอบนวด ก็อวดรู้ขึ้นมาทันทีว่า รู้จักและกุมความลับของ “เศรษฐา” ไว้ รู้ด้วยว่าข้างกายของ เศรษฐา มีคนๆ หนึ่ง ถ้าพูดชื่อนี้ทั้งวงการหุ้น “ขนลุก” คนๆ นี้เป็น “ขงเบ้ง” อยู่เบื้องหลังให้คำปรึกษาเศรษฐา ในเกมการเมือง

ตบท้ายให้เป็นปมปริศนา “คุณเศรษฐา” กับ “ชูวิทย์” ยังไม่ได้มีอะไรกัน แต่เตือนว่า “แผลมีแน่” ดรามายิงโฆษณาไว้ตามสไตล์ ชวนให้สังคมติดตาม ยอมรับนับถือ อื้อหือ “ชูวิทย์” เป็นคนจริง รู้จริง พร้อมจะแฉ...ถ้าทำดี ก็ไม่ว่าอะไร

ถามว่า เรื่องจริงๆ เป็นอย่างไร? น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?

อันว่า ระหว่าง “เศรษฐา” กับ “ขงเบ้ง” ที่ชูวิทย์ ทำยั่วให้คนอยากรู้ ดูเป็นคนกำความลับคนนั้น คนนี้ไว้ ไม่ได้เป็นความลับดำมืดอะไร และไม่ได้จะเป็น “แผล” ขนาดสะกิดแล้วจะเจ็บ เพราะคนที่ว่า ก็คือ “ทศพงศ์ จารุทวี” หรือเรียกกันในหมู่เพื่อนฝูง ชื่อเล่น “เสี่ยเบ้ง”
“ชูวิทย์” จับแพะมาชนแกะ ใส่สีใส่ไข่ด้วยลีลาลูกเล่นเติมคำว่า “ขง” หน้า คำว่า “เบ้ง” ให้กลายเป็น “ขงเบ้ง” ดูภาพให้เป็นคนลึกซึ้ง เป็นมันสมองของเศรษฐา และ เติมความน่ากลัวให้ดู “ขนลุก” ถ้าเอ่ยชื่อนี้ในตลาดหุ้น นั่นเพราะว่า “ทศพงศ์ จารุทวี” อดีตเคยเป็น กรรมการของ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด หรือ N-Park

ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสองคน “เศรษฐา-ทศพงศ์” โดยเสี่ยเบ้ง ก็คือ คู่เขยของเศรษฐา

ในเชิงธุรกิจทั้งสองต่างทำธุรกิจอสังหาฯ “เศรษฐา” ทำ แสนสิริ น้องสาวของ “หมอพักตร์พิไล ทวีสิน” ซึ่งเป็นภรรยาของเศรษฐา แต่งกับ “ทศพงศ์” ที่ก่อตั้ง บริษัท แนเชอรัล พาร์ค ก็ทำธุรกิจอสังหาฯ

เศรษฐา ทวีสิน
ปกติ “ทศพงศ์ จารุทวี” จะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและพร้อมจะยืนอยู่หลังฉากมากกว่าในเรื่องธุรกิจ แต่ไม่เคยยุ่งกับการเมือง ไม่ได้มีอิทธิพลทางความคิดใดๆ ต่อเศรษฐา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ หรือเรื่องอื่นๆ ยิ่งการเมืองยิ่งไม่ยุ่ง

เรื่องจริงๆ ก็มีเพียงเท่านี้ งานนี้จะเรียกว่าเป็นเรื่องของ “เจ้าของฟาร์มแกะมาเอง” ไม่ใช่แค่เด็กเลี้ยงแกะ ก็ว่าได้ !!

“ชูวิทย์” ชอบกุเรื่อง เล่นละครจนเป็นนิสัย รับงานใครมาเตะตัดขา “เศรษฐา” ก็ทำไป ใครจะเชื่อก็ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ในที่สุด “ความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว” นะจ๊ะ Chuweed.

**“ลุงป้อม” เผยความในใจ บอกขอให้เชื่อผมสักครั้ง จะพาก้าวข้ามความขัดแย้ง ดึง 2 ขั้วมาทำงานให้ประเทศชาติ

ที่ผ่านมา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ “จดหมายน้อย” เผยความในใจออกมาเป็นระยะ ถึงอุดมการณ์ทางการเมือง ความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าลงสนามเลือกตั้ง ในฐานะแคนดิเดตนนายกรัฐมนตรี ของพรรคพลังประชารัฐ ในครั้งนี้

ล่าสุด “ลุงป้อม” โพสต์เรื่อง “ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย” โดยย้อนถึงช่วงชีวิตการเป็นทหาร จากทหารชั้นผู้น้อย ไต่เต้าเติบโต จนมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก หนึ่งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ ทำให้มีโอกาสคบหาสมาคมกับผู้คนในหลากหลายวงการ ได้ซึมซับเข้าใจโครงสร้างของอำนาจรัฐ และการเมืองไทยเป็นอย่างดี

สำหรับการเมืองไทย ไม่ใช่เพิ่งมาแบ่งเป็นสองขั้ว สองแนวคิด แต่มีมานานแล้ว ฝ่ายหนึ่งมองเห็นแต่ความเหลวแหลกของพฤติกรรมนักการเมือง เห็นแต่นักธุรกิจการเมือง การลงทุนเพื่อค้ากำไร แสวงหาผลประโยชน์ ผู้มีบารมีในท้องถิ่น ก็พยายามเข้ามาขยายแหล่งผลประโยชน์ จากอำนาจส่วนกลาง

เมื่อประชาชนทั้งที่เป็นข้าราชการ ภาคเอกชน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน คนส่วนใหญ่ทนกับต่อพฤติกรรมของนักการเมืองดังกล่าวไม่ไหว จึงเป็นแรงสนับสนุนให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร

วงจรที่ว่านี้ ไม่เคยหมดไปจากโครงสร้างอำนาจประเทศเรามาตลอด!!

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
“ลุงป้อม” บอกว่า เมื่อชะตาชีวิตขีดเส้นให้ตนเองมีโอกาสเข้ามาทำงานเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี จนมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค และขยับขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคในวันนี้ และด้วยประสบการณ์ อุปนิสัย ที่เป็นคนชอบคบหาสมาคมกับผู้คน ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิต ความคิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากขึ้น

เหตุที่การเมืองไทยไม่พัฒนาไปในที่ทางที่ถูกที่ควร แล้วไปตัดสินว่าเป็นเพราะประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดีมาเป็นผู้แทนนั้น “ลุงป้อม”เห็นว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูก ถือว่าเป็นมุมมองที่ไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิด ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง

การได้ลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติราชการ พบปะประชาชน รับรู้ถึงปัญหาต่างๆของประชาชน ทำให้ได้รับรู้ว่า การปลูกฝังสำนึกประชาธิปไตยให้กับประชาชนนั้นไปไกลแล้ว ทั้งในส่วนกลาง และส่วนท้องถิ่น

“ลุงป้อม” บอกว่า เมื่อกลับมาย้อนมองผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพรรคที่สนับสนุน “อำนาจนิยม” จึงพ่ายแพ้ต่อพรรคที่เดินในแนวทาง “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกครั้ง เหมือนไม่มีหนทางในชัยชนะอยู่เลย แม้ว่าฝ่ายอำนาจนิยมจะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเอง อย่างเอาเป็นเอาตาย แค่ไหนก็ตาม

เพราะความพ่ายแพ้นั้นเกิดจาก “อำนาจนิยม” ที่แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ยังห่างไกลอย่างยิ่ง ต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่

จากประสบการณ์การเมืองที่ผ่านมา “ลุงป้อม” ยืนยันว่า ในเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะ “เดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย” เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น!!

ความระหว่างบรรทัดตรงจุดนี้ คืออยากบอกว่า เลิกมอง “ลุงป้อม” ว่าเป็นตัวแทนของ “เผด็จการทหาร” หรือฝ่าย “อำนาจนิยม” กันได้แล้ว เพราะได้เข้ามาสู่กติกาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว

และนี่จึงเป็นที่มาของคำประกาศความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เสนอตัวเข้ามาเป็นคนกลางในการดึงสองขั้ว ให้มาร่วมกันทำงานให้กับประเทศชาติ

ก่อนจบจดหมายน้อยฉบับนี้ “ลุงป้อม” ยังตีแผ่ความจริงใจไปสุดก้นบึ้งว่า ... ขอให้ทุกคนเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ และเรื่องราวที่ผมสั่งสมมา จะทำให้ผมทำได้ และจะทำได้ดีกว่าใคร ในความตั้งใจด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศนี้ ขอให้เชื่อผมสักครั้ง หลังจากนี้ ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปว่า ผมจะทำอย่างไร...


กำลังโหลดความคิดเห็น