ขนาดนั้นเชียว! “ดร.เสรี” ชี้ บางพรรคน่ากลัวกว่า “เพื่อไทย” จะทำให้ “ลุงตู่” ไม่ได้เป็นนายกฯ ปลุก FC เลือก “รวมไทยสร้างชาติ” ให้ชนะ “บิ๊กป้อม” เปิดเหตุผลไม่หยุดเล่นการเมือง จำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เชื่อทำได้ถ้าประชาชนให้โอกาส
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ก.พ. 66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“FC ลุงตู่ดูให้ดีนะคะว่า พรรคอะไรที่จะทำให้ลุงตู่ไม่ได้เป็นนายกฯ อย่ามัวแต่ไปจ้องที่พรรคเพื่อไทย มีพรรคอื่นที่น่ากลัวกว่า ถามตัวเองหน่อยนะว่า เราจะยอมให้เขาเป็นนายกฯ แทนลุงตู่ไหม
ถ้าเราไม่ยอม เราจะต้องทำอย่างไรในการเลือกตั้ง เราต้องกา รทสช. 2 บัตร เราจะต้องรณรงค์ไม่ให้ FC ลุงตู่เลือกพรรคไหนที่จะทำให้ลุงตู่ไม่ได้เป็นนายกฯ
ต้องเตือนกันหน่อยนะ อย่ามองไปที่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น มีพรรคบางพรรคที่ตั้งใจจะเป็นนายกฯ เราพิจารณาตัวเขาแล้ว เราคิดว่า เขาจะเป็นนายกฯที่ดีกว่าลุงตู่ไหม
รทสช. ต้องได้คะแนนมากกว่าพรรคของเขาอย่างน้อย 1 เสียงนะคะ ลุงตู่จึงจะได้เป็นนายกฯอย่างสง่างาม และมีความชอบธรรม ถ้าพรรคของเขาได้ ส.ส. มากกว่า รทสช. เขาไม่หลีกให้ลุงตู่นะคะ
รู้แบบนี้แล้ว คิดอ่านกันหน่อยนะ ว่า เราต้องรณรงค์กันอย่างไร จึงจะสามารถสกัดกั้นไม่ให้พรรคเขาชนะ รทสช. ต้องรีบดำเนินการนะคะ ช้าไม่ได้ค่ะ
มีสื่อมวลชนบางราย เชียร์เขาออกหน้าออกตานะคะ ด้วยเหตุผลอะไรไม่อาจรู้ได้ค่ะ”
ขณะเดียวกัน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดใจผ่านเพจ “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เรื่อง ทำไมต้อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”
เนื้อหาระบุ เพราะแม้จะมีเหตุผลมากมายที่หลายคนเห็นว่า ผมควรจะหยุด และกลับไปใช้ชีวิตสบายๆ ซึ่งจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เนื่องจากชีวิตไม่ได้รู้สึกขาดแคลนอะไรแล้ว
และนั่นทำให้ผมคิดแล้ว คิดอีกอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในที่สุดแล้ว ผมตัดสินใจที่จะทำงานต่อ แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งคือ ผมผูกพันกับคนที่ร่วมสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ” ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาเกือบครบ 4 ปีเต็มๆ
ทุกคนล้วนมีความหวัง ความฝันที่จะทำงานการเมืองต่อไป ทุกคนต่างร่วมทำงานหนักกันมา เมื่อถึงวันที่จะต้องลงเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น การต่อสู้รุนแรงมาก ใครไม่พร้อมก็ยากที่จะเดินต่อไปได้ ผมจะคิดแค่เอาตัวรอด ทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ยังมีความฝันอยู่เต็มเปี่ยมได้อย่างไร
นั่นเป็นเหตุผลแรก
แต่ลึกไปในใจ ในความรู้สึกนึกคิด ผมมีเหตุผลส่วนตัวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุผลที่เกิดจากการทบทวนครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถึงทางออกของชาติบ้านเมือง ว่า ควรจะทำอย่างไรกันดี เป็นการทบทวนที่มองผ่านเข้าไปในประสบการณ์ชีวิตของผมทั้งหมด แล้วหาข้อสรุปว่าเกิดอะไรกับประเทศ
ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังว่า อะไรที่ผมพบเจอ รับรู้ และเกิดความคิดอย่างไรในแต่ละช่วงชีวิต จนสุดท้ายตัดสินใจทำงานการเมืองต่อ ด้วยความคิดว่าตัวเองจะทำประโยชน์ด้วยการคลี่คลายปัญหาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความสดใส ผมจะเริ่มจากการเล่าให้เห็นประสบการณ์รับราชการทหารตั้งแต่ “นายทหารผู้น้อย” ค่อยๆ เติบโตมาถึง “ผู้บัญชาการกองทัพ” ได้รับการหล่อหลอมให้ “จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” มาทั้งชีวิต
จนผลึกความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา เป็น “จิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีของผม” อย่างมั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในห้วงเวลาเกือบทั้งชีวิตในราชการทหาร ด้วยจิตสำนึกดังกล่าว ผมได้รับรู้ความห่วงใยของคนในวงการต่างๆ ที่มีต่อความเป็นไปทางการเมืองของประเทศ อาจจะเป็นเพราะผมเป็น “ผู้บังคับบัญชากองทัพ” เสียงความห่วงใยส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายไปที่ “นักการเมือง”
คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า “กลุ่มอิลิท” ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ มอง “ความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมือง ด้วยความไม่เชื่อถือ” และความไม่เชื่อมั่นลามไปสู่ความข้องใจใน “ประชาธิปไตย” และ “ความรู้ความสามารถของประชาชน ในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครอบครองอำนาจบริหารประเทศ” ความไม่เชื่อมั่นต่อนักการเมือง และการเลือกของประชาชนนั้น ทำให้ผู้มีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศเหล่านี้ เห็นดีเห็นงามกับการ “หยุดประชาธิปไตย” เพื่อ “ปฏิรูป” หรือ “ปฏิวัติ” กันใหม่ หวังแก้ไขให้ดีขึ้น
คนในกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่หวังดี อยากเห็นประเทศพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรือง เป็นผู้มีประสบการณ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความรู้ความสามารถ หากสามารถชักชวนเข้ามาทำงานให้กับประเทศได้จะเป็นประโยชน์ แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ ความสามารถเหล่านี้ ไม่มีโอกาสเข้ามาช่วยประเทศชาติในช่วงที่ “ระบบการเมือง” จัดสรรผู้เข้ามามีอำนาจบริหารตามโควต้าจำนวน ส.ส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามา โอกาสที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติ มีเพียงช่วงที่ “รัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ” หรือการปฏิวัติ รัฐประหารเท่านั้น การรับราชการทหารมาเกือบทั้งชีวิต ทำให้ผมรู้จัก เข้าใจ และแทบจะมีความคิดในทางเดียวกับคนที่หวังดีต่อประเทศชาติเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นความคิดในช่วงแรก แม้จะครอบคลุมเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต แต่หลังจากเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง และตั้งพรรคการเมือง ทั้งในช่วงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเป็น “ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ” จนมาเป็น “หัวหน้าพรรค” ผมได้รับประสบการณ์อีกด้าน อันทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วย “ระบอบประชาธิปไตย”
เพราะในความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ว่านักการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่สุดแล้วอำนาจการบริหารประเทศต้องกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่อำนาจตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็คือ “ประชาชน” มีความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ แม้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง “ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ” จะตั้ง “พรรคการเมือง” ขึ้นมาสู้ ซึ่งแม้จะหาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมา “ฝ่ายอำนาจนิยม” จะพ่ายแพ้ต่อ “ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกคราว
ความรู้ ความสามารถของ “กลุ่มอิลิท” ทำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง ที่คลุกคลีกับชาวบ้านจนได้รับความรัก ความเชื่อถือมากกว่า นี่คือต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยก ระหว่าง “ฝ่ายอำนาจนิยม” กับ “ฝ่ายเสรีนิยม” ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเอง “ชนะอย่างเด็ดขาด-ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ” กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ
ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่ผ่านการเห็น การรู้ การฟังทั้งชีวิต อย่างเข้าถึง “จิตวิญญาณอนุรักษนิยม” และเข้าใจ “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” ที่มีผลต่อโครงสร้างอำนาจของประเทศ ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อให้ได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น และจะชี้ให้เห็นถึง “ความจำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง”
จากนั้นจะบอกให้รู้ว่า ทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่า “ผมทำได้” และ “จะทำอย่างไร” หากประชาชนให้โอกาสผม
สุดท้ายนี้ ขอบอกกล่าวให้รับรู้โดยทั่วว่า จดหมายทุกฉบับเขียนขึ้นโดยทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญมาช่วยกันกลั่นกรองสาระสำคัญที่ผมต้องการนำเสนอต่อสังคม เพื่อเป็นทางออกของบ้านเมือง
เช่นเดียวกับตอนที่ผมเป็น ผบ.ทบ. ก็มีคณะเสนาธิการทหาร คอยช่วยเหลืองาน ดังนั้น เมื่อก้าวมาเป็นนักการเมืองผมก็มีเสนาธิการฝ่ายการเมืองมาเป็นกำลังสำคัญเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของจดหมายทุกฉบับ ที่จะเกิดขึ้นผ่านการตรวจทานจากผมแล้วและผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พรรคบางพรรค ที่พร้อมจะเป็นนายกฯแข่งกับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งยังน่ากลัวกว่าพรรคเพื่อไทย คือ พรรคอะไร และใครเป็น “แคนดิเดตนายกฯ”
ที่น่าคิด ก็คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะต้องเอาชนะพรรคนี้ให้ได้ 1 ที่นั่งขึ้นไป หรือ พูดง่ายๆ ว่าต้องได้ที่นั่งมากกว่า บอกใบ้แค่นี้ หลายคนก็คงยังงงเป็นไก่ตาแตก
เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าลองวิเคราะห์จากกระแสข่าวดูว่า มีพรรคไหนบ้าง ที่เข้าข่าย อย่างที่ ดร.เสรีพูดถึงได้บ้าง
กระแสข่าวแรก ว่ากันว่า การแยกทางของ “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” ต่างก็มีฐานเสียงส.ว. 250 เสียง เป็นทุนอยู่แล้ว ดังนั้นโอกาสที่ทั้งสองคนจะแข่งกัน ก็คือ ใครได้ที่นั่งส.ส.มากกว่ากัน คนนั้นจะได้รับการโหวตจากส.ว. เพราะถือว่า ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นี่คือ ในกรณีสามารถรวบรวมเสียงได้เกินครึ่งของสภาฯ
กระแสข่าวที่สอง กรณีมีการพูดถึง “ดีล” จัดตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ข้ออ้างอาจมาจากความต้องการรัฐบาลสมานฉันท์ หรือ ก้าวข้ามความขัดแย้ง นั่นเอง
ดังนั้น พรรคที่น่ากลัวกว่าพรรคเพื่อไทย คือ พรรคอะไร และใครคือ คนที่จะแย่งเก้าอี้นายกฯ “ลุงตู่” ก็ลองคิดดู!