ข่าวปนคน คนปนข่าว
** "ชูวิทย์"vs"สันธนะ" เมื่อ"เจ้าพ่ออ่าง" มามุก "เถื่อน-ดิบ-ถ่อย" ฉายซ้ำ ตอกย้ำ "รับงาน" พาเพี้ยนรับเองเป็น "หมาบ้า"พิษกำเริบ
โหวกเหวกโวยวายรายวัน สำหรับอดีต "เจ้าพ่ออ่าง" ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถมด้วย "แอกชัน" เถื่อน-ดิบ-ถ่อย ไม่เกรงใจใคร ท้าตีท้าต่อยกับ "สันธนะ ประยูรรัตน์" อดีตตำรวจสันติบาลคู่อาฆาต จนเป็นเหตุชุลมุน เดือดร้อนเจ้าหน้าที่ต้องล็อกตัวกันวุ่นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
“สันธนะ” นั้นมายื่นหนังสือถึง "บิ๊กจ้าว" พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เพื่อเร่งรัดคดีที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ “ชูวิทย์” พร้อมพวกรวม 9 คดี แต่ขณะที่ “สันธนะ” ลงจากรถบริเวณหน้า บช.น. “ชูวิทย์” ที่ตั้งใจมาดักรออยู่ก่อนหน้าประตูทางเข้า ก็ได้ปรี่เข้าหา “สันธนะ” ทันที ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่ห้ามทัพไว้ ซึ่งก็ต้องชม “สันธนะ” ที่ไม่ตอบโต้ เก็บอาการได้ดีกว่าคู่กรณี ที่ดูออกแต่แรกว่ามาเพื่อยั่วยุ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะเตรียมนวมมาด้วย
อาการของ “ชูวิทย์”ที่แสดงออกมาเป็นไปอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจจะให้มีเรื่อง มีสติคล้ายขาดสติ จงใจให้ภาพจับเพื่อย้ำ "จุดขาย" ว่าเป็น คนจริง แต่ “ชูวิทย์” ก็ทำแบบนี้บ่อยครั้งเสียจนกลายเป็นมุกซ้ำ มุกแป้ก ที่คู่กรณีไม่หลงกลเล่นด้วย
ชาวโซเชียลฯผู้นิยมดรามาถึงกับเรียกฉากนี้เป็นการละเล่นของ "ตัวตลก" ที่หาสาระไม่ได้ นอกจากดูเพื่อความบันเทิง
อันที่จริงชั่วเวลาสั้นๆ ที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” เปลี่ยนจากคนชี้เป้า "ทุนจีนสีเทา" และ "ไทยเทา" ที่สังคมปรบมือเชียร์ แต่พอหักมุม มาลุยถั่ว "รถไฟฟ้าสายสีส้ม" และ "กัญชา" ที่ใครๆ ก็ "จับไต๋" ดูออกว่า"รับงาน"มา ความศรัทธาต่อ"ฮีโร่" ก็เสื่อมลง
ในสายตาของสังคม “เจ้าพ่ออ่าง”เสพติดการแฉข้างเดียว พอถูกแฉบ้างว่า "รับงาน" จึงพาลใส่คนนู้นคนนี้ แสดง"ตัวตน" ที่ซ่อนอยู่ในกมลสันดานออกมาหมดสิ้น ชนิด เถื่อน-ดิบ-ถ่อย ไม่เกรงใจใคร อย่างที่เห็นๆ
การกระทำกับคำพูดที่บอกว่า "การต่อสู้ของประชาชน" เป็นเพียงยกมาอ้างเพื่อหาความชอบธรรม แต่คำถามที่ต้องถามกลับ “ชูวิทย์” ว่า การต่อสู้ของประชาชน จำเป็นต้อง เถื่อน ดิบ ถ่อย กระนั้นหรือ... เนื้อหาสาระอยู่ตรงไหน?
“เจ้าพ่ออ่าง”ตอนนี้ทำอะไรก็ย้อนแย้งในตัวเอง สู้เรื่องกัญชา เพราะเป็นห่วงเยาวชน แต่ที่ตัวเองมีรูปหรา โปรโมตร้านขายกัญชาเพื่อสันทนาการ ของคนใกล้ชิด มันคืออะไร
ถ้าจะสู้เรื่องกัญชาเป็นยาเสพติด ทำไมไม่เอ่ยถึง ยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี โคเคน เฮโรอีน ที่ร้ายแรง ทำลายสังคม ทำร้ายเยาวชนบ้าง เพราะอะไร? ทำไม ? “ชูวิทย์”ตอบได้มั้ย หรือจะจริงอย่างที่ "สันธนะ" แฉก่อนหน้า อ๊ะป่าว...นี่ต้องไปไล่ถามคู่อาฆาตเอาเอง
“ชูวิทย์” ห่วงเยาวชน แต่ตัวเองมีการแสดงออกที่ กักขฬะ นิยมความรุนแรง เอะอะ ท้าตี ท้าต่อย ถ่มถุย หยามเหยียดผู้หญิง ตอนที่บุกไปกระทรวงคมนาคม เจอเลขาฯศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ออกมารับเรื่องแทน... นี่หรือคือคนที่หวังดีต่อเยาวชน? เป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชน
สำหรับกับการด่าทอที่เรียกว่า แฉ “เจ้าพ่ออ่าง” ต้องสำเหนียกว่า ข่าวสาร-ข้อมูลยุคสมัยนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ลึกลับดำมืดเหมือนในอดีต ใครทำอะไร อย่างไร ประชาชนเขาฉลาดพอจะวิเคราะห์ได้ อย่าดูถูกประชาชน กะแค่อาศัย "ลีลา" ทำหน้าขึงขัง ระเบิดอารมณ์ เกรี้ยวกราด กลบเกลื่อนบังหน้าเรียกความสนใจ ไม่พอแล้ว
นี่คงรับประทานแสงเยอะไป หรือแสดงสมบทบาทจนตัวเองก็สับสนในตัวเองหรือเปล่า ไม่รู้ ดูได้จากที่ตัวเองโพสต์ลงโซเชียลฯ ตัวเองว่า "... เรื่องผลประโยชน์มีมาก มันย่อมมี “สุนัขมาเห่ามาหอน” แต่ผมรู้จักนิสัยสุนัขดี “หมาเห่า” มันกัดไม่เป็น ได้แต่เห่าขู่
ไม่ใช่ผมไม่เห่าครับ แต่ถ้าได้เวลาก็กัดเลย
เชื้อหมาบ้ามันเข้าแล้วหยุดไม่อยู่ น้ำลายมันฟูมปาก"
นี่ตกลงว่า ตอนนี้ ตัว“ชูวิทย์”เองยังไม้รู้ใครเป็น "สุนัขรับใช้" และกำลัง "เห่าหอน"อยู่ พูดไปพูดมา ยอมรับตัวเองเป็น"หมาบ้า" ได้รับเชื้อพิษมากำเริบยื้อไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ซะแร้ววว
งานนี้คนที่ยิ้มอ่อน คือ “สันธนะ” คู่อาฆาต คงคิดแล้วละว่าใช้ความสงบสยบ "หมาบ้า" นั้นน่ะถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายกำลังทำลายตัวเอง
สุดท้ายจะไม่เหลือประโยชน์อะไรให้กับสังคม นอกเสียจากประโยชน์สุดท้ายเป็น "ปุ๋ย" ให้ต้นไม้ยามเมื่อดินกลบฝังร่างก็เท่านั้น!!
** “ไตรรงค์”หวดพรรคเก่า ตกปลาในบ่อเพื่อนแค่วาทกรรม ตกปลาในบ่อตัวเอง สิเรื่องจริง กะอีแค่เลือก กก.บห. ยังต้องยัดเงิน!!
ช่วงนี้ประชาธิปัตย์เจอแต่เรื่องหนักๆ ทั้งปัญหาเอกภาพภายในพรรค เลือดเก่าไหลออก เลือดใหม่ไม่ไหลเข้า ล่าสุดยังถูกร้องเรียนเรื่องส.ส.ตั้งวงเล่นไพ่ในสภา ทำเอาภาพลักษณ์พรรคเก่าแก่ ย่อยยับหมดกัน!!
วันก่อนผู้อาวุโสของพรรคอย่าง “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ประธานกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ออกมาพูดถึงวิกฤตของพรรคในยุคนี้ แบบเบาะๆ เบาๆ ว่าปัญหาเลือดไหลไม่หยุดนั้น เหตุเพราะหัวหน้าพรรค “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” ไม่สุงสิงกับใคร จริงจังกับงานเกินไป จนถูกมองว่าเป็นคนไม่ค่อยมีเสน่ห์
ขณะที่บรรดาแกนนำ ผู้บริหารพรรคคนอื่นๆ มักจะพูดถึงเรื่องคนในไหลออก ว่าเป็นเพราะ “เพื่อนมาตกปลาในบ่อ” โดยเฉพาะคนเก่าของพรรคที่ออกไปสังกัดพรรคอื่น มักมาหว่านล้อมชักชวน มอบผลประโยชน์ เพื่อให้ย้ายตามไป พร้อมออปชั่น ถ้ายกจังหวัดได้ก็มีโบนัสแถมให้อีก
เรื่องนี้ “ชุมพล กาญจนะ” ส.ส.สุราษฎร์ธานี 7 สมัย ที่ย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ“ลุงตู่” และหอบหิ้วเอา “วชิราภรณ์ กาญจนะ” ลูกสาว ที่เป็นส.ส.สุราษฎร์ ติดสอยห้อยตามไปด้วย จนถูก“ชวน หลีกภัย” ประธานสภา และอดีตหัวหน้าพรรคปชป. ออกมากล่าวแบบไม่ระบุชื่อว่า... คนย้ายพรรคเคยเล่าให้ฟัง มีค่าจ้าง 200 ล้านบาท หากกวาด ส.ส.บางจังหวัดในภาคใต้ได้ทั้งจังหวัด
ฟังแล้ว “ชุมพล” ก็รู้เลยว่าคงหมายถึงตนเอง จึงออกมาชี้แจงว่า เคยคุยเรื่องส.ส.ย้ายพรรค กับ“ท่านประธานชวน” แต่ก็ไม่เคยพูดถึงขนาดที่ว่า มีการเสนอเงิน 200 ล้านบาทให้ หากชนะเลือกตั้งยกจังหวัด... ส่วนลูกสาวที่ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ ปชป. แต่ต้องย้ายออก เพราะไม่สบายใจที่เห็นคนในพรรค แตกเป็นก๊ก เป็นก๊วน
“ชุมพล”ยังบอกว่าหลังจากตัดสินใจออกจากปชป. ก็ได้เขียนจดหมายถึง “ชวน” เพื่อร่ำลา เพราะไม่กล้าไปสู้หน้าด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นคนที่เคยกินเคยอยู่ด้วยกันมานาน ที่มาอยู่รวมไทยสร้างชาติ ก็ไม่มีเรื่องได้เงิน มีแต่จะเสียเงิน เพื่ออุดหนุนพรรคที่เรารู้สึกว่ามีอุดมการณ์ตรงกัน
...ไม่มีการเสนอให้เงินให้ทองแม้แต่บาทเดียว แม้จะเรื่องช่วยเลือกตั้ง ก็ไม่มีทั้งสิ้น เพราะเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น ทั้ง“น้องขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ทั้ง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” อยู่กันแบบพี่ แบบน้อง ไม่มีพูดเรื่องเงิน ผมเดินทางไปโน่น ไปนี่ มีแต่เสียเงิน...
เช่นเดียวกับ “ด็อกเตอร์สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี คนเก่าคนแก่ของปชป. ที่ย้ายไปเป็น “ที่ปรึกษาลุงตู่” ก็ออกมาหวด“จุรินทร์” แบบหนักๆ ไปว่า...ที่ จุรินทร์ ออกมาระบุว่า มีพรรคการเมืองที่จ้องตกปลาในบ่อเพื่อนนั้น พรรคที่จุรินทร์พูดถึง คงชั่วจังเลย แต่ตนเองคิดว่า ปชป. ก็ควรต้องมีวิธีป้องกันคนของตัวเองไม่ให้ออกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ มี 2 ประเด็น คือ...
1. มีพรรคการเมืองที่พยายามจะไปตกลงกับสมาชิกของพรรคอื่น โดยมีการระบุว่าจะให้เงินให้ทอง 2. มีบางพรรคที่กลัวสมาชิกจะออกก็ยัดเงิน ประมาณว่าอย่าออกนะ จะให้เงินเท่านั้นเท่านี้ แบบนี้เรียกว่า “ตกปลาในบ่อตัวเอง”
...คนที่ออกมาจากปชป. ลองไปถามเขาดู ทำไมเขาถึงออก ก็เพราะปชป. ไม่สามารถรักษาอุดมการณ์เดิมไว้ได้แล้ว ตั้งแต่ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” เสียชีวิต อุดมการณ์ก็อ่อนมาเรื่อยๆ คนที่อยู่ก็ไม่รักษาอุดมการณ์... เมื่อก่อน ปชป.เลือกกรรมการบริหารพรรค ไม่เคยซื้อเสียง แต่ระยะหลังซื้อกันคนละแสน สองแสน และได้ข่าวยัดเงินบางคนไปจนถึงล้านแล้ว ... แล้วคนอย่างผม จะอยู่ได้ไง ถ้าพรรคตกต่ำถึงขนาดนี้!!
“ไตรรงค์” ยืนยันว่า ในส่วนของตนเองนั้น ตัดสินใจมาเอง ไม่เกี่ยวเรื่องเงิน ส.ส.จากพรรคอื่นที่มา ก็ไม่เห็นมีใครมาด้วยเงิน ยิ่งกรณี “ชุมพล
กาญจนะ”นี่เขามีเงินเป็นพันๆ ล้าน ใครจะไปตกเขาได้... เขาอึดอัดถึงได้มา เนื่องจากลูกสาวบอกว่า อยู่ๆ ก็มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค และปรากฏว่ามีคนเอาเงินมาให้ 5 แสน บอกให้ช่วยเจรจาในกลุ่มซึ่งมีอยู่ 3 คน ช่วยยกมือเลือกหน่อย ลูกสาวมาเล่าให้ฟัง นี่มันเกิดอะไรขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้
...เหล่านี้คือเสียงจากคนเก่าแก่ ที่พูดถึงประชาธิปัตย์ในยุคที่ “จุรินทร์แอนด์เดอะแก๊ง” เป็นผู้บริหารพรรค