เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้สำหรับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. หรือคนเสื้อแดง ยังถือว่า เป็น “เสี้ยนตำเท้า” ตำใจ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “พี่โทนี่” ในพรรคเพื่อไทย นั่นแหละ เพราะหากพูดเรื่องอื่นบางคนอาจต้องมองผ่าน แต่สำหรับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองนี้ รวมไปถึงที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึงนายทักษิณ และครอบครัวด้วยแล้ว ก็ต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจได้ตลอด เพราะถือว่ามีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว
อย่างน้อยด้วยระดับที่เคยเป็นถึง “แกนนำคนเสื้อแดง” เคยต่อสู้ชิงอำนาจให้เขา และครอบครัวนี้มานานหลายปี จนบางครั้งต้องเสี่ยงชีวิตกันเลยก็มี ซึ่งอีกด้านหนึ่งมันก็ต้องเข้าถึง “ชั้นความลับ” หรือรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวหลายอย่างในช่วงเวลาหนึ่ง และยังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน บางครั้งอาจเรียกว่า “รู้ไส้” กันเลยก็ได้
อย่างเรื่อง “ดีลลับ” ที่มีการพูดถึง มีการวิเคราะห์ปะติดปะต่อเรื่องราวกันมาอย่างต่อเนื่องนานนับเดือนแล้ว ในตอนแรก หลายคนอาจรู้สึกเฉยๆ ทางหนึ่งอาจยังมองไม่เห็นความชัดเจน และจะได้คุ้มเสียหรือไม่ แต่นานเข้ากลับได้เห็นบางอย่างที่เชื่อมโยงแบบสมเหตุสมผลมากขึ้นก็เริ่มเชื่อ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีการปฏิเสธออกมาแบบหนักแน่น “ตัดเกม” กันเลย มีแต่อ้อมแอ้ม หรือคนพูดก็เป็นพวกระดับ “ปลายแถว” ลักษณะออกมาพูดแทนนายเรื่อยเปื่อย จึงไม่มีน้ำหนัก จึงยังคาใจโน้มเอียงไปทางน่าเชื่อถือว่า น่าจะมีจริง
ล่าสุด นายจตุพร เฟซบุ๊กไลฟ์ กดดันให้พรรคเพื่อไทยตอบคำถามเรื่องดังกล่าวให้ชัด โดยย้ำว่า ที่ผ่านมา ยังไม่ตอบคำถามว่า จะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้นำของพรรคพูดมานั้นเป็นเพียงโวหาร อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยแล้ว แม้ที่ผ่านมา เป็นพรรคมีเสียงอันดับหนึ่งในสภา แต่เคยเลือกบุคคลจากพรรคอื่นเป็นนายกฯมาแล้วถึงสองครั้ง โดยครั้งแรก ธันวาคม 2551 เลือก “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” (หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน) ชิงนายกฯ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่ก็แพ้ไป
ส่วนครั้งที่สอง หลังเลือกตั้งปี 2562 เลือก “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” (เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เป็นนายกฯ ก็แพ้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี ส.ว.เทเสียงหนุนอย่างเป็นเอกภาพถึง 249 เสียง จากทั้งหมด 250 คน ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคเพื่อไทยทั้งที่ได้เสียงเลือกตั้งมากที่สุด ยังไม่เคยได้เลือกแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองมาเลย กลับไปลงมติเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นแทน
ดังนั้น เมื่อมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 กรณีแกนนำเพื่อไทยบอกต้องโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคตัวเอง ถ้าเลือกคนจากพรรคอื่น จะตอบประชาชนได้อย่างไรนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตอบตามที่เคยตอบ และก็อยู่มาได้ตามที่เคยอยู่แล้วไง แต่ปัญหาทางการเมืองนั้น ถ้าไม่จับมือกัน ไม่ดีลกัน ก็ต้องต้องตอบให้เด็ดขาด เหมือนพรรคก้าวไกลกับไทยสร้างไทยประกาศชัดเจน ไม่จับมือกับ พปชร. และรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อีกทั้งพรรคภูมิใจไทย ก็จะไม่จับมือกับก้าวไกล
“เพราะความตลบตะแลง ตั้งแต่เรื่องสุดซอย (กม.นิรโทษกรรม ที่เพื่อไทยปรับเปลี่ยนไปคลุมถึงคดีทุจริต) มติพรรคเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 3 รอบ ดังนั้นความไม่อยู่กับร่องกับรอยในทุกเรื่อง พร้อมประวัติศาสตร์ได้อธิบายอยู่ทุกวัน โดยความเป็นจริงคุณตอบคำถามเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุด ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แล้วทำไมต้องตอบไม่ตรงกับคำถามด้วย”
อีกทั้งย้ำว่า ถ้าเพื่อไทยตอบตรงคำถามง่ายๆ ว่า ไม่มีวันจับมือกับ พปชร.เด็ดขาด ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตาม ก็เท่านั้น แต่ไม่ตอบ จึงทำให้นึกย้อนถึงร่องรอยสายสัมพันธ์ตั้งแต่การแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ. รวมถึงความสัมพันธ์ช่วงก่อน และหลังวันยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งปิดบังตนไม่มิด เพียงแต่ยังไม่ได้อธิบายในรายละเอียดว่า ใครประสานกับใคร อย่างไร และวางคนของตัวเองไว้ตรงไหนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการดีลหลังวันยึดอำนาจ ด้วยการเจรจาเป็นตอนๆ ไป ทั้งในเรื่องกลับบ้าน หรือคดีอื่นๆ พอไม่สำเร็จ ก็ดีลให้เดินทางออกนอกประเทศ
“ดีลยึดอำนาจยังดีลเลย นับประสาอะไรกับการดีล (จับมือประวิตร หนุนให้เป็นนายกฯ) ที่ตอบไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะการจับมือกับประวิตร ยังมีฤทธิ์เดชอยู่ แม้ไม่มีการปฏิเสธกัน แต่มีความพยายามจะเอา นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย มากลบข่มประวิตร แต่ สุรเกียรติ์ ก็ไม่มา”
“จุตพร” กล่าวว่า เพื่อไทยยังมีสิทธิตอบคำถามง่ายๆ นี้ แต่กลับเล่นลีลา ลากไปลากมา ออกอาการพูดปลิ้นปล้อน โยนหลักการมาอธิบาย แต่ไม่ยอมใช้ภาษาง่ายๆ แบบไพร่พูดให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความ หรือพูดเปิดช่องดิ้นหนีคำถาม ถึงที่สุดก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามจนบัดนี้
ดังนั้น จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ เพราะต้องพึ่งพา พล.อ.ประวิตร กับ องค์กรอิสระทั้ง 5 และ ส.ว. ยิ่งถ้าประกาศจับมือพล.อ.ประวิตร เสียงก็จะหายไปทันที หรือหากประกาศเด็ดขาดไม่จับมือ พปชร. ก็จะเจอสงคราม และเจอปฏิบัติการกันอีกหลากหลาย จึงจำเป็นต้องอ้ำอึ้ง แล้วพูดกั๊กกันไว้เช่นทุกวันนี้ เพราะเป็นแค่ลีลา ซึ่งไม่ใช่ความจริง
ขณะเดียวกัน สำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็ได้ออกจดหมายเปิดใจ อ้างเหตุผลในเรื่องการที่ยังต้องทำงานการเมืองต่อไป และที่ต้องเน้นย้ำเป็นพิเศษก็คือ ต้องการให้บ้านเมือง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” หากมองในแง่บวก ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีงามที่จะให้บ้านเมืองพ้นจากการจมปลักแบบนี้ไปสักที
อย่างไรก็ดี หากมองในมุมการเมือง มันก็เหมือนกับการ “ตอกย้ำกันล่วงหน้า” กันตั้งแต่เนิ่นๆ แบบไม่ต้องอ้อมค้อมว่า “พร้อมร่วมกับทุกฝ่าย” ในความหมายก็คือ “ไม่มีขั้ว”อีกแล้ว จะไปทางไหนก็ได้ ซึ่งก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าท่าทีแบบนี้แหละที่ทำให้บรรดาส.ส.พวกบ้านใหญ่หลายคน ระดับ “เขี้ยว” หลายคนยังปักหลักอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป ซึ่งเหมือนกับการันตีเป็นรัฐบาล เพราะนาทีนี้ถือว่า “ขับไปทางไหน” ก็ได้หมด ซึ่งสำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีแต่กำไร มิหนำซ้ำ ด้วยเงื่อนไขบางอย่างที่เป็น “ดีลลับ” กับ นายทักษิณ ชินวัตร ตามที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พูดเอาไว้ว่า น่าจะมีจริงเพื่อแลกกับบางอย่าง มันก็อาจถึงขั้นส้มหล่นไปถึงเก้าอี้นายกฯสักครั้ง จากเสียงโหวตจากพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลข้างต้นที่อ้างอิง
เพราะต้องไม่ลืมว่า ส.ว. ยังมีสิทธิโหวตนายกฯอีกครั้ง ยังเหลือวาระอีกปีเศษ หลังจากนั้นค่อยมาว่ากัน แต่เพียงแค่นี้ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่งสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” และพรรคเพื่อไทย นาทีนี้ก็ถือว่าเริ่มมีความกดดันสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเลือกตั้งคราวนี้ ถือว่าโจทย์ยากกว่าทุกครั้ง เพราะคู่แข่งมีการพัฒนา และรู้ทันทั้งในเรื่องนโยบายและการแก้เกมกันมาอย่างดี หลายพรรคเป็นรัฐบาล สามารถสร้างผลงาน มีกระสุนตุนเอาไว้เต็มกระเป๋า ย่อมมีพลังดูดอันมหาศาลอยู่แล้ว
ขณะที่ ฝ่ายเพื่อไทย หากจะบอกว่ายังขายรูปแบบเดิมๆ นั่นคือ ยังใช้ความเชื่อมั่นของครอบครัวชินวัตร เป็นจุดขาย เริ่มตั้งแต่ ชู “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นจุดขาย และวางตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค แม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีคนมองว่านี่เป็นแค่ “ตัวหลอก” ไม่ใช่ของจริง หรือยังไม่ถึงเวลาเอาจริง นั่นคือ พอถึงเวลาก็โหวตให้คนอื่นเป็นนายกฯ ไปก่อนดังกล่าว
ดังนั้น หากพิจารณากันถึงตอนนี้ เมื่อประมวลจากความเคลื่อนไหว ท่าทีต่างๆ รวมไปถึงความจำเป็นในวันข้างหน้า สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่การเลือกตั้งคราวนี้ มันก็เหมือนกับเป็นความหวังอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ “กลับบ้าน” มันจึงต้องทำทุกวิถีทาง จนมีเรื่อง “ดีลลับ” ที่ทำให้มีความเป็นไปได้มาก โดยที่ตัวเขาก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะทางหนึ่งต้องการเสียงแบบแลนด์สไลด์ หรือล่าสุด ถึงขั้นให้ “โหวตเลือกข้าง” กันไปเลย อีกทางหนึ่งก็ต้องหวังพึ่งพาคอนเนกชัน “ลุงป้อม” แบบวิน-วิน แต่ไม่ว่าจะออกทางไหนสำหรับ “ลุง” แล้วฟันกำไรอยู่คนเดียว!!