การเลือกตั้งด้วยบัตรสองใบและคราวนี้พรรคเพื่อไทยส่ง ส.ส.ครบ 400 เขตไม่แตกพรรคอย่างเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ทำให้ตอนนี้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสมากที่จะได้ ส.ส.มากถึง 200 คนบวกลบ แม้จะยังไม่แลนด์สไลด์ แต่ก็มีโอกาสมากที่เสียงของ 2 พรรคคือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะมีเสียงรวมกันเกิน 250 เสียง ปิดโอกาสของขั้วรัฐบาลเดิมทันที แม้ทักษิณจะไม่เอาพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล แต่อำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลก็อยู่ในมือของทักษิณ
ผมเคยแสดงความเห็นว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าเราอาจได้รัฐบาลที่เป็นสูตรผสมระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ ฯลฯ ส่วนใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองระหว่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ในฝั่งพรรคเพื่อไทยแม้จะส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมา 3 ชื่อ แต่เชื่อว่าทักษิณคงจะเลือกลูกสาวของตัวเอง
อาจจะมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับ 1 แน่ ถ้าฟอร์มรัฐบาลได้ นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็นอุ๊งอิ๊ง แต่ต้องไม่ลืมว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นต้องใช้เสียงถึง 376 เสียงครึ่งหนึ่งของสองสภาฯ ไม่มีทางเลยที่จะรวบรวม ส.ส.ได้ 376 คน ถ้าเราตัด 3 พรรคที่เป็นฝ่ายค้านออกไปจากสมการ 3 พรรคนั้นคือ พรรคก้าวไกลที่ไม่มีใครอยากร่วมรัฐบาลด้วยและพรรคประชาธิปัตย์กับพรรครวมไทยสร้างชาติที่ไม่มีวันร่วมรัฐบาลผสมกับเพื่อไทย ดังนั้นจึงต้องพึ่งเสียงของ ส.ว.ส่วนหนึ่งนั่นแหละที่ทำให้พล.อ.ประวิตรมีอำนาจต่อรองเพราะมี ส.ว.ส่วนหนึ่งอยู่ในมือ
ว่ากันว่า ส.ว.สายพล.อ.ประวิตรนั้นมี 80 คนที่พร้อมจะยกมือให้พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี และยังมี ส.ว.สายกลางอีกจำนวนหนึ่งที่ประกาศแล้วว่าจะเคารพเสียงของประชาชน ถ้าฝ่ายไหนสามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ได้เกินครึ่งก็จะยกมือให้ฝ่ายนั้นเป็นรัฐบาล
เมื่อต้องพึ่งเสียงของ ส.ว.ทักษิณก็อาจต้องยอมพล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเงื่อนไขที่เตรียมวางแผนไว้ว่าจะกลับบ้านมารับโทษ และหวังว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ พรรคเพื่อไทยจะขอกระทรวงยุติธรรมมาดูแล เป็นไปได้ว่ารัฐมนตรียุติธรรมอาจจะชื่อชัยเกษม นิติสิริ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้ามาอยู่ในคุกและเดินเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษ
เสียงร่ำลือว่ามีการดีลกันระหว่างพล.อ.ประวิตรกับทักษิณนั้นมีนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่จะโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ที่ธรรมนัส พรหมเผ่าจะนำ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐโหวตคว่ำกลางสภาฯ ก็มีการพูดเรื่องดีลกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และจะเห็นว่า ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยไม่ค่อยจะแตะพล.อ.ประวิตรมุ่งถล่มแต่พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลัก
ถ้าจะกลับบ้านทักษิณไม่มีทางเลือกอื่นหรอกครับ กางกฎหมายดูกันแล้วมีทางเดียวเท่านั้นคือกลับเข้ามาติดคุกเสียก่อน ถ้าจะไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมในสภาฯ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเคยเผชิญกับการต่อต้านมาแล้วในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้เชื่อว่าการนิรโทษกรรมทางการเมืองจะต้องมี แต่เป็นการนิรโทษกรรมกับความผิดทางการเมืองของคนทั้งสองสีเสื้อและคนรุ่นใหม่ที่ต้องโทษในมาตรา 112 หรือ 116 แต่โทษของทักษิณไม่น่าจะเข้าข่าย เพราะเป็นโทษที่เกิดจากการทุจริต ถ้านิรโทษให้คนทุจริต ป.ป.ช.ก็คงจะไม่มีงานทำเพราะคนอื่นต้องได้ประโยชน์ด้วย
คนก็ถามว่าพล.อ.ประวิตรจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้มั้ยเดินเหินก็ยังต้องมีคนช่วยพยุง นั่งที่ไหนเป็นหลับ และมีครหามากมายโดยเฉพาะเรื่องนาฬิกาเพื่อน เรื่องนาฬิกาเพื่อนนั้นแม้ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยที่เอาสีข้างเข้าถูของ ป.ป.ช.แต่เมื่อมีมติออกมาแล้ว มันก็เท่ากับพิสูจน์ว่าพล.อ.ประวิตรบริสุทธิ์ เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะถูกหยิบยกมากล่าวหาได้อีก เว้นเสียแต่ว่าจะมีหลักฐานใหม่ที่รื้อฟื้นคดีขึ้นมาได้
เรื่องต้องมีคนพยุง เราคงเห็นแล้วว่า ตอนที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนพล.อ.ประยุทธ์ระหว่างรอการวินิจฉัยเรื่อง 8 ปีจากศาลรัฐธรรมนูญนั้น พล.อ.ประวิตรเปลี่ยนมาเป็นอีกคนหนึ่ง เพราะเดินเหินกระฉับกระเฉงขึ้นมาแบบทันใด และเราจะเห็นว่า ช่วงนี้พล.อ.ประวิตรพยายามแสดงต่อสาธารณะให้เห็นถึงความพร้อมที่จะทำงานได้ ด้วยการไปปรากฏตัวต่อสถานที่ต่างๆ ด้วยลุคแฟชั่นที่นำสมัยเพื่อให้เห็นว่าแม้จะเป็นคนแก่วัย 70 ปลายแล้ว แต่ยังทันโลกทันสมัยอยู่
อย่าลืมว่า พล.อ.ประวิตรนั้นเข้าสู่การเมืองมาก่อน แต่พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเพราะการยึดอำนาจ แล้วบอกสังคมว่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่แล้วก็ติดใจในตำแหน่งเป็นมาแล้วกว่า 8 ปี ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าหลังจบสมัยนี้แล้วยังเป็นได้อีกเพียง 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์ก็ควรจะหยุดเพราะสมัยของรัฐบาลนั้นมีวาระ 4 ปี แต่แรงปรารถนาก็คงไม่สิ้นสุดพล.อ.ประยุทธ์ยังอยากจะเป็นต่อ พล.อ.ประวิตรอาจจะไม่เห็นด้วยหรือไม่ก็คิดว่า ควรจะเสนอชื่อตัวเองคู่กันไปด้วย พล.อ.ประยุทธ์คงจะไม่ยินยอมจึงต้องออกไปตั้งพรรคใหม่
มีคนถามเยอะว่า พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรนั้นโกรธกันจริงไหม ขัดแย้งกันไหม ผมคิดว่าทั้งสองคนน่าจะมีความขัดแย้งกันทางความคิดไปตามแรงปรารถนาของกันและกัน แต่ก็ไม่ถึงกับสายสัมพันธ์ขาดสะบั้นต่อกัน ถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมกลับมาฟอร์มรัฐบาลได้ พล.อ.ประวิตรก็คงจะพร้อมที่จะนำพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วม แต่ต้องยอมรับว่าโอกาสของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมนั้นมีน้อยมาก ส่วนพล.อ.ประวิตรไม่ว่าฝ่ายไหนได้จัดตั้งรัฐบาลก็เข้าร่วมได้
ต้องยอมรับนะว่าการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ได้รับการประคับประคองและดูแลปัญหาทางการเมืองโดยพล.อ.ประวิตร เพราะเป็นคนที่เปิดกว้างมากกว่า และนักการเมืองในพรรคสามารถเข้าหาได้ต่างกับพล.อ.ประยุทธ์ ว่าไปแล้วพล.อ.ประวิตรจึงเหมือนกับลมใต้ปีกที่ช่วยประคองให้พล.อ.ประยุทธ์โผบิน และพล.อ.ประวิตรก็คงคิดว่า น้องก็น่าจะพอแล้วควรจะเปิดโอกาสให้พี่เป็นบ้าง แต่เมื่อน้องไม่พอก็ต้องแยกทางกัน จนมีคำพูดของพล.อ.ประวิตรว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ใครดีใครได้
ก็ต้องยอมรับว่า ณ สถานการณ์ทางการเมืองและโอกาสความเป็นไปได้ของพล.อ.ประวิตรมีมากกว่า ทางเดียวของพล.อ.ประยุทธ์คือ ต้องให้พรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้รวมกันได้เกิน 250 คน และพรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์ต้องได้รับเลือกตั้งมามากที่สุดในฝ่ายนี้ ซึ่งถ้าถามว่าระหว่างพรรคภูมิใจไทยที่ชูอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีกับพรรครวมไทยสร้างชาติพรรคไหนจะได้ ส.ส.มากกว่า ถึงตอนนี้ใครก็ต้องชี้ไปที่พรรคภูมิใจไทยทั้งนั้น แล้วถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้ได้ ส.ส.เกิน 250 คนจริง ถามว่าอนุทินจะยอมให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีเหรอ
ผมฟันธงว่าโอกาสในการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์นั้นหมดลงแล้วครับ แต่โอกาสของพล.อ.ประวิตรนั้นยังคงสุกไสวสกาววาว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan