“จตุพร” อ่านเกมทักษิณพล่าม “กลับบ้าน” หวังกวาดต้อนเสียงเสื้อแดงมาหนุนเพื่อไทย ดักคอแลนด์สไลด์ต่อให้ได้ 499 เสียง ก็ไม่อาจปกครองได้ แย้มมีข่าวหลุด นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย แคนดิเดตนายกฯตัวจริงของเพื่อไทย หวังนำมาข่ม พล.อ.ประวิตร ให้ยอมเป็นรองนายกฯ อัดแม้วเป็นคนที่เอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง จำได้หรือไม่กลลวงปี 2554 หนุนจนชนะเลือกตั้ง สัญญานำคดีเสื้อแดงชุมนุมถูกปราบ 100 ศพขึ้น ศาล ICC แต่เบี้ยวแค่ซื้อใจประยุทธ์ไม่ให้ยึดอำนาจ เท่ากับ “ขายเสื้อแดงไปซื้อใจคนปราบ”
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน โดยระบุว่า สถานการณ์ประเทศแทบทุกด้านในขณะนี้อยู่ท่ามกลางความมั่ว ไร้หลักยึดเพื่อนำพาสู่อนาคตที่ชัดเจน
นายจตุพร ยกกรณีความมั่วในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่า ปรากฏการณ์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เพียงคนเดียวกลับมีพลานุภาพสั่นสะเทือนวงการตำรวจที่มีคนกว่า 3 แสนคน พินาศย่อยยับได้ และแทบทำอะไรไม่เป็น อีกทั้งการงัดหลักฐานออกมาเปิดโปงแต่ละเรื่อง บ่งชี้ถึงเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นวันนี้ แต่ย้อนหลังไปทำการทุจริตไว้มากมาย ซึ่งพิสูจน์คำพูดของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรตำรวจไทยทำไมได้” ได้ชัดเจน
นอกจากนี้ ในยุค ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ สมัยแรก (ปี 2544-2548) ยังนำประเทศให้เป็นรัฐตำรวจ โดยเกิดปรากฏการณ์ปั้นเรื่องปล้นปืน จนนำสู่การสูญเสียงบประมาณเป็นหมื่น-แสนล้าน และเหตุการณ์ความไม่สงบจึงเกิดมาต่อเนื่อง จนหาทางกลับมายุติแทบไม่เจอ ดังนั้น การใช้หลักคิดแบบรัฐตำรวจ จึงเกิดปัญหาและหายนะ อีกทั้งแสดงถึงเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงสงบไม่ได้ เพราะงบประมาณและรายได้จะหายไปกับความสงบ
“ตำรวจที่ถูกชูวิทย์แฉเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการรับผลประโยชน์มิชอบ แต่ก่อนหน้านี้ มักเกี่ยวพันกับกรณีของการอุ้มทำให้ชีวิตสูญหาย และเมื่อมาสมคบกับรัฐทหารในช่วงการยึดอำนาจ ประชาชนจึงรับภาระจ่ายส่วยให้ทหารอีกด้วย แล้วประชาชนพึ่งใครไม่ได้จึงต้องมาพึ่งประชาชนด้วยกันเอง”
นายจตุพร กล่าวว่า ในทางการเมืองวันนี้ ก็มีความมั่วไม่แตกต่างกัน จะหาหลักยึดก็ไม่เจอ เมื่อมีการโยกย้ายพรรคสลับขั้วกันไปมา คน กปปส.ย้ายมาเพื่อไทย และ อดีต นปช.ก็ไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ดังนั้น จึงว่าใครไม่ได้ เพราะมั่วกันหมด
อีกทั้งกรณีเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงประกาศบทเวทีตำหนิ ส.ส.โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ว่า เป็นการทรยศประชาชน แต่เพื่อไทยก็เอาคนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ มาอยู่เพื่อไทย จึงเป็นแหล่งรวมพวกทรยศมั่วกันอีก จึงแสดงถึงพฤติกรรมทางการเมืองพูดอย่างทำอย่างชัดเจน
รวมทั้งวันนี้เช่นกัน เมื่อมีคำถามกับทักษิณ ง่ายๆ ว่า เพื่อไทยจะจับมือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พปชร. หรือไม่ ก็ไม่ตอบ เอาแต่ตอบหลบหลีก ว่า จะไม่จับมือกับคนปฏิวัติเด็ดขาด นั่นเป็นเลี่ยงออกจาก พล.อ.ประวิตร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวที่ปฏิวัติ จึงเท่ากับเปิดปลายทางสามารถจับมือกับ พล.อ.ประวิตร ได้ ดังนั้น การตอบเช่นนี้จึงไม่มีหลักยึดให้ประชาชน และเป็นการทำงานทางการเมืองแบบมั่วๆ หวังหลอกลวงประชาชน
ขณะเดียวกัน ยังมีข่าวหลุดให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา โดยเป็นข่าวแคนดิเดตนายกฯตัวจริงของเพื่อไทย คือ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เพื่อนำมาข่ม พล.อ.ประวิตร ให้ยอมเป็นรองนายกฯ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า นายสุรเกียรติ์ จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ และมีคำถามตามมาว่า ถ้าไม่มาแล้ว พล.อ.ประวิตร จะยอมเป็นรองนายกฯ โดยมี อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ หรือ? อีกทั้งที่สำคัญคือ คนอย่างประวิตร จะยอมให้ใครมาหักได้หรือ? สิ่งนี้จึงเป็นการเล่นเกมการเมืองที่เสี่ยงที่สุดกับการฉุดรั้งประเทศไม่ได้เดินหน้าอีก
“ถ้าวันหนึ่งเพื่อไทยจับมือ พปชร.-ประวิตร บรรดาติ่งเพื่อไทยทั้งหลาย คุณจะทำอย่างไร จะอ้างว่า เป็นความจำเป็น เพราะไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องเป็นรัฐบาล เพราะมิเช่นนั้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2570 จะได้ 600 บาทต่อวันหรือ? ซึ่งก็เป็นนโยบายเป็นการเมืองอีก ดังนั้น การไม่ตอบตรงคำถาม คือ การตอบแบบปลิ้นปลายตลอดนั่นเอง"
นายจตุพร กล่าวว่า ประชาชนถูกหลอกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะประเทศไม่มีหลักยึดทางการเมือง มีแต่การเล่นเกมแบบมั่วกันไปหมด ถ้าต้องการหลักการประชาธิปไตยจริง โดยประกาศไม่จับมือพวกปฏิวัติ และเชื่อหรือไม่ว่า พล.อ.ประวิตร ไม่เกี่ยวกับการยึดอำนาจปี 2557
“แค่ถามจับมือ ประวิตร-พปชร. ก็ไม่ตอบ แต่ไปตอบอย่างอื่น ซึ่งเป็นการหลอกกัน คำถามง่ายๆ จะจับมือประวิตรหรือไม่ก็บอกมาให้ชัด หรือจะบอกไม่จับ และถ้าจับให้ประชาชนขับไล่ ง่ายๆ แบบนี้แต่ชัดเจน ก็ไม่มีเรื่องค้างคาใจกัน ดังนั้น ถ้าไม่ตอบคำถามนี้ ก่อนการเลือกตั้งจะถามแบบนี้ทุกวัน”
นายจตุพร กล่าวว่า เกมจับมือกับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่นั้น ทักษิณเล่นกันหลายทาง ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นต้ม ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ ยิ่งทำเหมือนไม่รู้เรื่องก็เป็นเกมตอบโต้อีกแบบหนึ่ง
อีกทั้ง เล่าว่า เหมือนกับคืนหนึ่งช่วงตีหนึ่ง ตนถูกปลุกด้วยข่าวทักษิณ จะยุบสภาสมัยยิ่งลักษณ์ ตนจึงโทร.หาทักษิณถาม 2 ข้อว่า คิดว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะหยุดชุมนุมหรือไม่ และสอง ประชาธิปัตย์จะลงเลือกตั้งหรือไม่ โดยทักษิณ บอกว่า สุเทพจะหยุดชุมนุม และประชาธิปัตย์ ลงเลือกตั้ง เมื่อยิ่งลักษณ์ ยุบสภาแล้ว ทักษิณผิดทั้งสองข้อ เพราะสุเทพก็ไม่หยุดและประชาธิปัตย์ก็ไม่ลงเลือกตั้งด้วย
“จึงเป็นหลักการคิดที่เดินไปติดเบ็ด เมื่อยุบสภาแล้ว อำนาจรัฐก็หายไปครึ่งหนึ่งเลย โยกย้ายตำรวจก็ไม่ได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ยอม จ่ายเงินจำนำข้าวก็ได้ทีละตอน จึงเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่เข้าเหลี่ยมของฝ่ายตรงข้ามตลอด”
นายจตุพร เปรียบว่า เหมือนคำประกาศอย่างยโสโอหังใช้หัวใจกลับบ้าน ไม่ใช้กฎหมาย แต่โยนให้ลูกสาวอุ๊งอิ๊งเป็นคนประกาศ และปล่อยข่าวอีกว่าจะกลับก่อนเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดกระแสแลนด์สไลด์ อย่างไรก็ตาม แม้ได้รับเลือกมา 499 เสียง จาก 500 เสียง ก็ไม่อาจปกครองได้ และจะพังพาบด้วย เพราะขาดความชอบธรรม เท่ากับไปปลุกอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์ มาหยุดทักษิณ แล้วประชาชนสองฝ่ายจะขัดแย้งเผชิญหน้ากันอีกเหมือนปี 2557
สิ่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าไม่แน่จริงแล้วจะต้มเปื่อยทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้สนิทแน่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ บอกจะยึดอำนาจถ้าไปรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในคดีชุมนุมปี 2553 ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็ยอม โดยซื้อใจ พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อจะไม่มีการยึดอำนาจ แต่เท่ากับเป็นการขายใจคนเสื้อแดงไปซื้อใจประยุทธ์นั่นเอง เนื่องจากคนเสื้อแดงต้องการให้รัฐบาลยอมรับเขตอำนาจศาลระหว่างประเทศเฉพาะคดี 2553 ดังนั้น จึงเป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่า เป็นคนที่เอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
“มันไม่ได้ว่า อยู่ดีๆ ประชาชนแพ้ แต่กลับเอาชัยชนะของประชาชนไปขาย เพื่อแลกอำนาจทุกอย่างเพื่อตัวเอง แทนที่จะสร้างประชาชนให้มีความแข็งแรง แต่กลับมาบอนไซประชาชนแล้วพึ่งประยุทธ์ และวันนี้เสมือนหนึ่งมาต่อสู้กัน แต่เหมือนละครตบจูบกัน”
พร้อมระบุว่า อยู่ดีๆ ทักษิณ ก็พูดกลับบ้านขึ้นมา จะสร้างความเสียหายจะเกิดกับประชาชน แต่เป็นการปลุกชนวนขึ้นมาใหม่ มั่วกันไปหมด ดังนั้น ถ้าเพื่อไทยไม่มั่วก่อน โดยยึดหลักการประชาธิปไตยชัดเจน ไม่เอาคนจาก พปชร. และภูมิใจไทย เข้าพรรค ซึ่งจะเป็นพรรคการเมืองแตกต่างจาก รทสช.ทันที แต่วันนี้เพื่อไทยรับ พปชร.จึงไปว่าพรรคการเมืองอื่นไม่ได้เลย
นายจตุพร กล่าวว่า การคิดเพื่อบ้านเมือง ต้องก้าวข้ามตัวเองก่อน และการสืบทอดทางการเมืองโดยสายเลือด ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญ ต้องเอาความจริงมาก่อน โดยสภาพประเทศต้องการคนบริหารนำพาในตำแหน่งนายกฯ ที่ต้องกำกับทุกเรื่อง เมื่อทักษิณโยนปัญหาจะกลับบ้าน จึงส่อแนวโน้มจะวุ่นวายอีก และไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ คิดอะไรอยู่
“ถ้าถามเพื่อไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คงตอบว่า ทำเองทั้งนั้น ไม่มียุทธศาสตร์อะไรเลยกับทักษิณการประกาศจะกลับบ้าน ถ้าคิดฝ่ายเดียวก็แค่แลนด์สไลด์ แต่กลับไปปลุกฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาต่อต้าน แม้ชนะท่วมท้น 499 เสียงก็ไม่ได้ปกครอง เพราะไม่มีความชอบธรรม ยังไม่เข็ดอีกหรือ?”
นายจตุพร ย้ำว่า สิ่งสำคัญ เมื่อทักษิณ ประกาศกลับบ้าน แล้วไม่มาอีก ย่อมเป็นการทำซ้ำๆ ตามเดิมที่เคยประกาศมาหลายครั้งก็ไม่กลับ สิ่งนี้จะปลุกอารมณ์ประชดประชันให้อับอาย กลายเป็นเพิ่มความกดดัน พูดไม่เป็นจริง ตอกย้ำการหลอกลวงทางการเมืองให้เด่นชัดขึ้น และจะส่งผลเสียหายให้เพื่อไทย ดังนั้น การประกาศกลับบ้านจึงไม่เป็นยุทธศาสตร์ที่ดีเลย
“แม้เสียง 499 เสียงในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องการเปรียบเปรย เพื่อบอกว่า แม้จะมีเสียงเท่าใดก็ตาม แต่เพื่อไทยไม่มีวันเปลี่ยนอำนาจเป็นของประชาชนได้เลย เพราะยังมีองค์กรอิสระ 5 แห่ง และ ส.ว. 250 คน คอยถ่วงดุลอยู่ เนื่องจาก ส.ว.ก็ยังอยู่ในระบบวินัยการโหวตของ 3 ป.อยู่”
นายจตุพร เห็นว่า ในครั้งนี้ เมื่อทักษิณ ประกาศกลับบ้านแล้ว ต้องมาให้ได้ ถ้าไม่มาก็เสียหน้าทักษิณซ้ำไปอีก และจะทำให้เสียการเมืองอย่างย่อยยับ อีกทั้งเสียงแลนด์สไลด์ทำให้เห็นว่า ทักษิณไม่ได้มั่นใจอะไรเลย จึงต้องกวาดต้อนผู้คนเสื้อแดงให้กลับมาช่วยเพื่อไทยอีก เพื่อปูทางสู่การมีอำนาจอีกครั้ง ดังนั้น กลเกมเช่นนี้จึงเป็นหลอกลวงและที่สำคัญยิ่งทำให้ประชาชนสองฝ่ายขัดแย้ง แตกแยก แล้วเผชิญหน้ารุนแรงกันอีก ทักษิณ ยังไม่เข็ดอีกหรือ?