“ปวิน” โดดป้อง “ปิยบุตร” ปรี๊ดแตกในทวิตเตอร์ แจกkวยสลิ่ม ไม่หยาบคาย อ้างเฉย คนไหนบ้างไม่เคยใช้คำว่าkวย “ดร.นิว” ซัด ตัวจริงหยาบช้าสุดๆ ชี้ นำความคิดแบบผิดๆ เยาวชน “อัษฎางค์” ยกเสียกรุงสองครั้ง เตือนภัย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ธ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า
“นี่ไม่ใช่กรณีนักการเมือง (หรืออดีตนักการเมือง) พูดจาหยาบคาย จากกรณีปิยบุตรปรี๊ดแตกในทวิตเตอร์ แจกkวยสลิ่ม เอาดีๆ มีผู้ชาย (หรือแม้แต่ผู้หญิง) คนไหนบ้างที่ไม่เคยใช้คำว่าkวย โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อน วงเหล้า วงซุบซิบนินทา ถ้าkวยคือคำพูดติดปากผู้ชาย อิดoกก็คือคำพูดติดปากกะเทย ส่วนตัวดิชั้นเฉยๆ มากกับการใช้คำสบถ kวย มันก็ภาษาชาวบ้านนี่แหละ และใช้กันอย่างแพร่หลายแบบ informal อีพวกผู้ดีตีนแดงที่ดิชั้นเคยคลุกคลีมาก่อน ใช้คำสบถยิ่งกว่าคำว่าkวยค่ะ ส่วนอีสลิ่มที่ร้องกรี๊ดทนไม่ไหว ดิชั้นแนะนำให้มึงไปตๅยค่ะ กระแดะ”
ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun โพสต์ทวิตเตอร์ “ปิยบุตร” ตอบโต้ชาวเน็ตรายหนึ่ง พร้อมข้อความ ระบุว่า
“คำพูดของคนที่ถือคติชายเป็นใหญ่ค่ะ”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD ก็ได้โพสต์ภาพโต้ตอบทวิตเตอร์ ระหว่าง “ปิยบุตร” กับ ชาวเน็ต พร้อมข้อความ ระบุว่า
“กูละอย่างชอบ”
และยังแชร์โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า
“ตัวตนที่แท้จริง ไม่ได้สุภาพเรียบร้อยอย่างที่แสดงละครปาหี่นะครับ บอกได้เลยว่า ตัวจริงหยาบช้าสุดๆ ไม่งั้นเขาคงไม่ชี้นำทางความคิดแบบผิดๆ หลอกใช้ให้เยาวรุ่นออกหน้าทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเองอย่างอำมหิตหรอกครับ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“หนอนบ่อนไส้”
สาเหตุของการเสียกรุงที่ชัดครบจบจริง
…………………………………………………………
ผมนั่งชมรายการชัดครบจบจริง เมื่อคืนนี้ คุณต้น วราเทพ ถาม อ.บอย ดร.อานนท์ ในรายการ ว่า “ตกลงอำนาจรัฐของเรายังหลงทางอยู่มากมั้ย”
อ.บอย ตอบว่า “มาก และก็ไม่ได้ทำอะไร”
“เอาตัวอย่างง่ายสุดที่เป็นรูปธรรม การปราศรัยเมื่อ 10 สิงหา 63 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่าเป็นการกระทำผิดมาตรา 49 ล้มล้างการปกครอง ซึ่งต้องทำคดีกบฏ คดี 116 ซึ่งทำได้”
“แต่ตอนนี้ คดีไม่เดินเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย”
…………………………………………………………
ถ้าสมมติบังเอิญผมไปอยู่ในรายการนั้นด้วย ผมอยากจะขอเสริมข้อมูล ซึ่งเชื่อว่า ทั้งคุณต้น อ.บอย และพี่ต้อย สนธิญาณ ที่ร่วมสนทนาในรายการทราบดีอยู่แล้วว่า
“ปัจจุบัน มันมี ‘หนอนบ่อนไส้’ อยู่ในทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ในประเทศไทยในขณะนี้”
เห็นอาจารย์สีส้มสอนวิชาสังคมที่บูลลี่ป๋าเปรม ด้วยการเอาข้อมูลที่บิดเบือนใส่สมองเด็กในคาบเรียนมั้ยครับ นั้นคือตัวอย่างหนอนตัวเล็กๆ อีกตัวที่ปรากฏออกมา
แต่เรายังมีหนอนตัวใหญ่ๆ ที่อยู่ในวงราชการ เป็นหนอนตัวใหญ่ระดับ ผู้อำนวยการ อธิบดี ปลัดกระทรวง
หรือเป็นหนอนระดับ ส.ส. เป็นศาล เป็นรัฐมนตรี
การที่มีหนอนบ่อนไส้เยอะขนาดนี้ ทำให้เรื่องผิดผีผิดคนทั้งหลายเหล่านั้น ถูกดอง ถูกปัดตก หรือถูกทำให้เรื่องผิดกลายเป็นเรื่องถูก
หนอนบ่อนไส้ พวกนี้อย่าคิดว่า เป็นเรื่องเล็กๆ ความจริงมันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทยเสียกรุงมาถึง 2 ครั้งแล้ว
…………………………………………………………
ขอเล่าประวัติศาสตร์ย้อนรำลึกความหลังกันเล็กน้อย
สาเหตุของการที่เสียกรุงครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112 คือ
1. เกิดความแตกสามัคคีกันระหว่างสมเด็จพระมหินทราธิราช กับ พระมหาธรรมราชา
2. พระยาจักรี ซึ่งเป็นแม่ทัพไทย เป็น “หนอนบ่อนไส้” ให้แก่พม่า
…………………………………………………………
ส่วนสาเหตุของการที่เสียกรุงครั้งที่ 2 ในวันอังคาร ขึ้น 9 คํ่า เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 คือ
1. คนไทยแตกความสามัคคี
สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสรุปว่า “ไทยอ่อนกำลังลงด้วยการจลาจลในประเทศ ไทยด้วยกันมุ่งหมายกำจัดพวกเดียวกันเอง เนื่องจากการชิงอำนาจ”
2. พระยาพลเทพ ข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายไทย เป็น “หนอนบ่อนไส้” ให้กับพม่า
3. ขาดผู้นำที่เข้มแข็ง
…………………………………………………………
สังเกตดูว่า การเสียกรุงทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา มีสาเหตุเดียวกันอยู่ 2 ข้อ คือ ขาดความสามัคคีและมีหนอนบ่อนไส้
แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่เพิ่มมาในการเสียกรุงครั้งที่ 2 คือ การขาดผู้นำที่เข้มแข็ง
และการเสียกรุงครั้งที่ 3 ถ้าจะเกิดขึ้น ก็ย่อมจะเกิดจาก 3 สาเหตุเดียวกันนี้ คือ
1. ขาดความสามัคคี
2. มีหนอนบ่อนไส้
3. ขาดผู้นำที่เข้มแข็ง
และผมเชื่อว่า จะมีสาเหตุที่ 4 นั้นคือ
ผู้นำขาดวิสัยทัศน์ทางด้านเทคโนโลยี
เพราะยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคไอที ที่มีเทคโนโลยีเป็นอาวุธ
ดังนั้น ผู้นำที่ไม่รู้จักการใช้อาวุธที่เป็นเทคโนโลยีไอที ย่อมแพ้สงครามแน่นอน
สังเกตดูได้ว่า ความแตกแยกในบ้านเมืองล้วนเกิดขึ้นและลุกลามอย่างรวดเร็วในโลกของไอที ที่รัฐบาลไทยจัดการอะไรแทบไม่ได้เลย
…………………………………………………………
ซึ่งหนอนบ่อนไส้ที่ทำให้เสียกรุงทั้ง 2 ครั้งนั้น มีหนอนเพียงตัวสองตัว หรือไม่กี่ตัว แต่สามารถทำให้เสียกรุงได้ถึง 2 ครั้ง แล้วปัจจุบันมีหนอนเต็มบ้านเต็มเมืองขนาดนี้ จะไม่ทำให้เราเสียกรุงเทพฯ ให้เขาหรือ ?
…………………………………………………………
ตัวอย่างผู้ที่มีพฤติกรรมเป็นหนอนบ่อนไส้
1. แอบสอดแนมและเฝ้าเวรยาม รู้แจ้งในเหตุการณ์ แต่ไม่จุดไฟสัญญาณให้ทันเวลา
2. ขัดคำสั่ง ถ่วงเวลา ดองคดี ปัดตกข้อสนเทศ ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก สร้างความปั่นป่วนในองค์กรและกองทัพ
3. รุก รับ ร่น ถอย ไม่ฟังเสียงฆ้องกลอง หรือในปัจจุบันคือการปฏิบัติหน้าที่ให้ผิดเพี้ยนและเสียงาน
4. เป็นผู้ใหญ่ไม่เห็นใจผู้น้อย ขูดรีดผู้ใต้บังคับบัญชา หาผลประโยชน์อันมิชอบใส่ตน ไม่เหลียวแลความทุกข์ของประชาชน
5. ปั้นน้ำเป็นตัว กุข่าวร้ายอันไม่เป็นมงคล เช่น การกุข่าวเรื่องซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์, กุข่าวในหลวงรื้อที่สร้างฮาเร็ม ทั้งที่ความจริงทรงสร้างสวนสาธารณะ, ล่าสุด ยังกุข่าวอัปมงคล
6. สร้างข้อมูลเท็จ แล้วแทรกซึม เข้าทำการล้างสมองเยาวชนและประชาชน
7. หลังจากล้างสมองแล้ว ก็เอามาเป็นพวก จัดตั้งองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังม็อบหรือกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือส่งคนหรือครูอาจารย์ ไปล้างสมองเยาวชนและประชาชนต่อไป
8. รับเงินหรือผลประโยชน์จากต่างชาติ เพื่อทำลายประเทศชาติและสังคมของตัวเอง
9. หนอนตัวเล็กลงพื้นที่ หนอนตัวกลางยืนอยู่ใกล้ชิดหรือเดินตามสถาบันพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ศาลฯ ส่วนหนอนตัวใหญ่สุดแอบอยู่ใต้กระโปรงเด็กอย่างมิดชิด
…………………………………………………………
ถ้าไม่รีบจัดการกับหนอนบ่อนไส้ เราอาจได้ทันเห็นเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่สาม ซึ่งจะเป็นการเสียกรุงให้กับคนไทยด้วยกันเอง กับตาตัวเอง
…………………………………………………………
อัษฎางค์ ยมนาค
ราษฎรไทยผู้ยึดมั่นในประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เท่านั้น”
แน่นอน, เห็นได้ชัดว่า ประเด็นต่อสู้ทางการเมืองที่แหลมคมยิ่งกว่าการช่วงชิง “อำนาจรัฐ” ของบรรดาพรรคการเมือง นักการเมือง ก็คือ การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนั้น ก็คือ “ปฏิรูปสถาบันฯ” นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่การต่อสู้จะต้องเผชิญหน้าอย่างไม่มีทางหลีกพ้น ก็คือ การปกป้องสถาบันฯของหลายคน และ “ศรัทธาประชาชน” ที่ส่วนใหญ่ ยังจงรักภักดีต่อสถาบันฯ อย่างสูง
แต่ทว่า ยังมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่อย่างมากในการเคลื่อนไหว ของคนจำนวนหนึ่ง ที่ฉากหน้าแม้จะเห็นเพียงนักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ จัด “ม็อบ 3 นิ้ว” ก็ตาม
นี่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปราบปราม แบบรบทัพจับศึก แล้วก็จบลงได้ หากแต่สิ่งที่หลายคนเป็นห่วงอยู่ในเวลานี้ ก็คือ “สงครามแทรกซึม” ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน และจุดจบก็อาจอย่างที่ “อัษฎางค์” ระบุ คือ “เสียกรุงครั้งที่ 3” หรือไม่?