xs
xsm
sm
md
lg

“คนดัง-บันเทิง” จัดบวชถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ “กูรู” จี้ขุดรากถอนโคนขบวนการล้มเจ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ขอบคุณข้อมูล-ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และบทกลอน ของ “นภาลัย สุวรรณธาดา”
“นิติพงษ์-อรนภา-สินจัย-ฉัตรชัย-อัญชะลี” และอีกหลายคน ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดบวชถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ “ท่านใหม่” ย้ำ อย่าฟังแต่ข่าวลือ นักวิชาการ จี้ รัฐขุดรากถอนโคนขบวนการล้มสถาบัน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 ธ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ภาพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ประกอบบทกลอน “นภาลัย สุวรรณธาดา”

ภาพ นิติพงษ์ ห่อนาค จากแฟ้ม
รวมทั้งยังแชร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Nitipong Honark ระบุว่า

“ในนามคนไทยรักสถาบัน
ขอเชิญชายไทยอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 45 คน เข้าร่วมโครงการบวชถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ระหว่างวันที่ 19 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2566 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร บางลำพู โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ติดต่อแจ้งความประสงค์ที่ Line 0896667055 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อนึ่ง คณะเจ้าภาพประกอบด้วยบุคคลทั่วไป ดังนี้คือ
คุณนิติพงษ์ ห่อนาค และครอบครัว
คุณอรนภา กฤษฎี และผองเพื่อน
คุณสินจัย-ฉัตรชัย เปล่งพานิช
คุณทยา-ณัฐพล ทีปสุวรรณ และครอบครัว
คุณอัญชะลี ไพรีรัก และทีมท็อปนิวส์
ม.ล.รจนาธร ณ สงขลา และครอบครัว
คุณเมนาท นันทขว้าง และครอบครัว
คุณปวันรัตน์ นาคสุริยะ และผองเพื่อน
คุณคำรณ ปราโมช ณ อยุธยา และผองเพื่อน

ภาพ สินจัย-ฉัตรชัย เปล่งพานิช จากแฟ้ม
รายละเอียดโครงการบรรพชาพระภิกษุถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ดังนี้

1. สมัครตามช่องทางที่ประกาศ

2. มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่เป็นผู้ต้องคดีใดๆ ทั้งสิ้น

3. มีใบรับรองแพทย์ ผลตรวจเอทีเค และ ใบอนุญาตจากหน่วยงานในสังกัด (ถ้ามี)

4. ห้วงเวลาบวช คือ 19 ม.ค.- 2 ก.พ. 2566 ไม่สึกระหว่างทางบวช และไม่บวชต่อหลังจากครบกำหนดวันลาสิกขา

5. เมื่อใบสมัครผ่านการคัดเลือก ให้มาซ้อมในวันที่ 4 ม.ค.  9 ม.ค. และ 13 ม.ค. 2566 เวลา 13.00 น. ที่ตึก สว ธรรมนิเวศ ชั้น 2 กับพระอาจารย์ศักดิ์สิทธิ์

6. ผู้ซ้อมผ่านจำนวน 45 ท่าน รายงานตัววันที่ 18 ม.ค. 2566 เวลา 12.00 น ณ ตึก สว ธรรมนิเวศ
เวลา 13.00 น. ผู้เข้าบวช 45 ท่าน เดินทางไปซ้อมพิธีบวช ณ อาคาร 100 ปี
เวลา 14.00 น. ผู้เข้าบวชทำพิธีถวายตัวบวช (ใส่ชุดขาว)
เวลา 15.00 น. ผู้เข้าบวชทำพิธีโกนหัว และ เข้าพัก ณ ตึก สว ธรรมนิเวศ (รับประทานอาหารเย็น)

7. วันที่ 19 ม.ค. 2566 วันบวช เจ้าภาพพร้อมกัน 05.00 น. ที่ตึก สว ธรรมนิเวศ ผู้เข้าบวชรับประทานอาหารเช้า เวลา  06.00 น. ที่ตึก สว ธรรมนิเวศ
เวลา 07.00 น. เจ้าภาพทำพิธีมอบผ้าไตร
เวลา 09.00 น. เริ่มพิธีบรรพชาสามเณร 45 รูป
เวลา 11.00 น. ถวายเพลสามเณร 45 รูป พร้อมพระพี่เลี้ยงและผู้ติดตามจำนวน 60 ท่าน (ไม่รวมเจ้าภาพ)
เวลา 13.00 น. เริ่มพิธีบรรพชาพระภิกษุ 45 รูป คราวละ 3 รูป จนครบ
เวลา 18.00 น. เจ้าภาพถวายน้ำปานะ และ ร่วมส่งพระบวชใหม่ 45 รูป ไปยังตึก สว ธรรมนิเวศ

8. เจ้าภาพถวายเพล พระบวชใหม่ 45 รูป พระพี่เลี้ยง 5 รูป และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล 10 ท่าน เป็นเวลา 15 วัน พร้อมน้ำปานะ

9. ในวันที่ 2 ก.พ. 66 เมื่อพระภิกษุ 45 รูป ฉันเช้าเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มทำพิธีลาสิกขา เป็นอันเสร็จสิ้นโครงการบรรพชาเพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ (เจ้าภาพควรมา เวลา 08.00 น.)

ขณะเดียวกัน ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ‘ท่านใหม่’ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า

“อย่าฟัง แต่ข่าวลือ ข่าวอ้างว่า ขอให้ฟังแต่ประกาศ ของ สำนักพระราชวัง เท่านั้น”

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า

กรณี ครูส้ม ที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย เป็นสัญญาณเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น ส่วนที่อยู่ด้านล่างที่ไม่ได้โผล่ขึ้นมายังมีอีกมากมายที่เราอาจคาดไม่ถึง บางคนอาจตั้งคำถามว่า ครูส้มคงไม่ได้สอนนักเรียนแบบนี้เป็นครั้งแรก บังเอิญครั้งนี้นักเรียนคนหนึ่งถ่ายคลิปออกมาเผยแพร่ จึงเป็นเรื่องขึ้นมา ก่อนหน้าครั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าครูส้มสอนเด็กแบบนี้มาแล้วกี่รุ่น ผลิตเด็กให้มีความเชื่อและวิธีคิดแบบนี้มาแล้วกี่คน

เชื่อว่า การสอนเด็กด้วยชุดความคิด และความเชื่อแบบครูส้ม ไม่ได้เริ่มขึ้นในโรงเรียน แต่เริ่มขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยอาจารย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในเกือบจะทุกมหาวิทยาลัย ทั้งอาจารย์ประจำและอาจารย์พิเศษ มีการสอดแทรกชุดความคิดทางการเมืองของตัวเอง สอนว่า รัฐบาลที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกตั้งทั้งหมด คือ รัฐบาลเผด็จการ ทำให้ประเทศล้าหลัง การเลือกตั้งเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศเจริญได้ มีความเท่าเทียม ได้สอนว่า พระมหากษัตริย์ทรงลงมาแทรกแซงการเมือง ให้การสนับสนุนการทำรัฐประหาร พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ คือ ต้นกำเนิดของความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกัน มีการนำข่าวลือต่างๆ ในทางไม่ดี ที่ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และเกี่ยวกับรัฐบาล หรือนักการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบมาเล่าให้นิสิตนักศึกษาที่ตัวเองสอนฟัง โดยไม่แยกแยะว่าเรื่องใดเป็นเพียงข่าวลือ เรื่องใดเป็นความจริง

พูดอีกอย่างหนึ่ง คือ อาจารย์เหล่านี้นำความเห็นทางการเมืองของตัวเองใส่ลงไปในสมองของเด็กโดยไม่แยกแยะว่าเรื่องใดคือความเห็น เรื่องใดคือข้อเท็จจริง ซึ่งแน่นอนว่า กว่าครึ่งของเด็กในห้องเรียนจะมีความเห็นคล้อยตาม เมื่อจบการศึกษาเป็นบัณฑิตก็จะมีจำนวนหนึ่งสมัครเป็นครูตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งครูส้มก็คือหนึ่งในนั้น และคงมีคนแบบครูส้มอีกเป็นจำนวนมาก

ปรากฏการณ์เช่นนี้ น่าจะมีมานานร่วม 20 ปีแล้ว นั่นคือ สาเหตุที่ในปัจจุบัน ทั้งนักเรียน และนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก ชู 3 นิ้ว ในทุกโอกาสที่ทำได้ด้วยความภาคภูมิใจ นั่นคือ สาเหตุที่ในโรงภาพยนตร์มีผู้ลุกขึ้นยืนตรงเมื่อเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีกันน้อยมาก จนคนที่อยากจะลุกขึ้นยืนตรงเกิดความเขินอาย และนั่นคือ สาเหตุที่เกิดม็อบ 3 นิ้ว ที่ทั้งจาบจ้วง หยาบคาย ล้อเลียน และกระทำการอันเป็นการย่ำยีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

ในระยะแรกๆ อาจารย์เหล่านี้อาจจะมีแนวคิดไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้มีการร่วมมือกับองค์กร หรือกับบุคคลต่างๆ และไม่ได้ทำกันอย่างเป็นขบวนการ แต่เมื่อได้พบผู้ที่มีแนวคิดแบบเดียวกันในสถาบันอื่นๆ พบกับผู้บริหารองค์กรเอกชนบางองค์กร จึงเริ่มมีการทำงานกันแบบเป็นขบวนการ และในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ขบวนการนี้เริ่มเข้าสู่การเมืองระดับประเทศเป็นครั้งแรก โดยตั้งพรรคการเมือง ส่งคนลงสมัคร ส.ส.พยายามผลักดันให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พยายามผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่า เพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เอง สร้างสัญลักษณ์ 3 นิ้ว จนเกิดมีสาวกที่นำสัญลักษณ์นี้ไปใช้กันทั่วประเทศ แกนนำที่ดำเนินการทางการเมืองเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นผลผลิตที่ออกมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ดังกล่าวเช่นเดียวกับครูส้มนั่นเอง

กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ขบวนการนี้ได้ทำให้ประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยงๆ ยิ่งกว่าสมัยเสื้อเหลืองและเสื้อแดง สร้างความแตกแยกระหว่างคนในครอบครัวเดียวกัน ระหว่างเพื่อนกับเพื่อน ระหว่างผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส กับคนรุ่นใหม่ ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และระหว่างชนชั้น จนเกิดความวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน ยังดีที่ระยะหลังคนเริ่มรู้ทัน การปลุกม็อบของพวกคุณจึงจุดไม่ค่อยจะติด จากที่เคยมีผู้มาร่วมชุมนุมมากที่สุดเหยียบแสน เดี๋ยวนี้มีคนมาร่วมไม่กี่คน ยังมีจำนวนน้อยกว่าตำรวจควบคุมฝูงชนและสื่อมวลชนเสียอีก นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่ามาร่วมชุมนุมแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร และเริ่มเห็นว่าสิ่งที่พวกคุณพยายามปั่นกันนักหนาใน social media ส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง หลายคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกให้ติดคุกติดตะรางจนอาจเสียอนาคตไป

แม้ม็อบจะจุดไม่ติด แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะขบวนการนี้ยังไม่จบ ยังคงดำเนินต่อไป การสอดแทรกความคิด และความเห็นทางการเมือง และเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในแนวทางของขบวนการยังคงดำเนินต่อไปในระดับมหาวิทยาลัย กรณีครูส้มแสดงให้เห็นชัดว่า ขณะนี้ลงไปในระดับโรงเรียน และกำลังลงไปในระดับครอบครัว แล้ววนกลับมาที่ระดับมหาวิทยาลัย เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นวงจรที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง

คำถามคือ หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงของรัฐจะมีมาตรการอย่างไร ที่จะตอบโต้ขบวนการนี้ ที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า รัฐอาจมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับขบวนการนี้ แต่การดำเนินการเชิงรุกที่จะหยุดหรือชะลอวงจรนี้ลง ยังไม่มีให้เห็นเป็นรูปธรรม มีแต่รอให้เกิดขึ้นแล้วจึงดำเนินคดี อย่าลืมว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำต่างๆ ของขบวนการนี้เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การกระทำเหล่านี้ต้องหยุดลง แต่นอกจากการดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ 116 ซึ่งเป็นการหยุดที่ปลายเหตุ แต่มาตรการป้องกันที่ต้นเหตุหรือต้นตอของปัญหาจะต้องมีด้วย แต่ก็ยังไม่มี และการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างก็ยังดำเนินต่อไป

หากมีการผลิตบุคลากรที่มีความคิดตามขบวนการนี้ในทุกระดับต่อไปเรื่อยๆ แม้ไม่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้า แต่ในอนาคตหลังจากนั้น ยังไม่มีใครรู้ว่าอีกนานเท่าใด ประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนจากการเป็นราชอาณาจักรไปเป็นประเทศสาธารณรัฐเป็นแน่

แน่นอน, นอกจากปัญหาความขัดแย้ง อันเนื่องมาจากการปลุกกระแสคนรุ่นใหม่ มีความเห็นต่างทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปสถาบันฯ และเปลี่ยนแปลงประเทศ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางการเมืองของไทยไปแล้ว

ยังเป็นปัญหาที่ท้าทายต่อการแก้ไขของอำนาจรัฐอย่างมาก เพราะไม่เพียงกลุ่มคนที่ถูกใช้เป็นด่านหน้า คือ เด็กนักเรียน-นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่เท่านั้น หากแต่ยังมีการทำงานทางความคิด กันอย่างสอดรับเป็น “ขบวนการ” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เห็นได้ชัดจากการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ หรือ โลกโซเชียล ที่ “นักเรียน-นักศึกษา” เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งยังยากที่จะปราบปรามด้วย

เหนืออื่นใด คือ ความขัดแย้งแตกแยกของคนในสังคม ที่นับวันจะทวีความรุนแรง เนื่องจากการกระทำหลายอย่างของ “ขบวนการล้มเจ้า” ถือว่าเหยียบย่ำหัวใจคนไทยส่วนใหญ่ ที่มีความ “จงรักภักดี” และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเยาวชนคนรุ่นใหม่ แม้แต่ลูกหลาน ญาติพี่น้อง ซึ่งในที่สุด ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวญาติพี่น้องก็ตามมา

นี่คือ ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ และยังไม่รู้ว่า สุดท้าย จะลงเอยอย่างไร!?


กำลังโหลดความคิดเห็น