พร้อมรับผลการกระทำ! “ดร.สุวินัย” โพสต์ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” กระทำสิ่งที่มิบังควร “หมอวรงค์” แจง ลาออกจากพรรคไทยภักดี แล้ว อย่าโยงให้เสียหาย “อดีตรองอธิการ มธ.” ชี้ ส.ส.ย้ายพรรคเหมือนนักฟุตบอล?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ธ.ค. 65) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ระบุว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยโทษ เนื่องจากได้กระทำสิ่งที่มิบังควรอันทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าประเทศไทยจะต้องดำรงคงอยู่กับสามสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดไป
และพลันที่มีผู้มิหวังดีต่อสถาบันหลักของชาติ ข้าพระพุทธเจ้าก็พร้อมจะใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถที่มีเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ เพื่อถวายชีวิตเป็นราชพลีเสมอมา
เมื่อได้รับทราบข่าวที่ได้สร้างความกังวลความทุกข์ใหญ่หลวงแก่ปวงชนชาวไทย ความทุกข์ดังกล่าวก็เป็นความทุกข์ของข้าพระพุทธเจ้าด้วย
ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้พยายามอย่างสุดความสามารถโดยเจตนาบริสุทธิ์ที่จะช่วยโดยอำนาจแห่ง ‘จิตตานุภาพ’ ตามสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้ประสบ บำเพ็ญปฏิบัติ และเชื่อมั่นมากว่าค่อนชีวิต โดยมิได้ทันยั้งคิดไปว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งมิบังควร อันอาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบจากผู้ไม่หวังดีได้
เมื่อได้รับคำท้วงติงจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และมิตรสหายผู้หวังดี ข้าพเจ้าจึงได้ยุติการกระทำดังกล่าวทันที และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เข้ามาดำเนินการเป็นอย่างดีโดยมิได้บิดพลิ้วแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุข้างต้น ข้าพระพุทธเจ้าได้สำนึกเสียใจต่อความมิบังควรและความอันทำให้ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทที่ได้กระทำลงไป
ข้าพระพุทธเจ้า จึงกราบขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และพร้อมที่จะยอมรับผลของการกระทำใดๆ อันมิบังควรที่ข้าพเจ้าได้กระทำลงไปทั้งทางกฎหมายและทางสังคม
ทั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอให้คุณพระรัตนตรัย อานุภาพแห่งบุรพกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ พระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาชั้นฟ้าในทุกชั้นได้อำนวยพรให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้ทรงหายจากพระอาการประชวรให้เร็วที่สุดและปกป้องพระราชวงศ์ทุกพระองค์ให้เป็นเสาหลักเป็นศูนย์ร่วมใจของคนไทยตลอดไป
สุวินัย ภรณวลัย
18 ธันวาคม 2565”
ด้าน “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว วรงค์ เดชกิจวิกรม – Warong Dechgitvigrom ระบุว่า
“#ชี้แจงข้อเท็จจริง
กรณีที่มีข่าวว่า อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ได้ดำเนินกิจกรรม ความเชื่อส่วนตัวของท่าน และมีการนำเสนอข่าวว่า ท่านอาจารย์สุวินัย เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคไทยภักดีนั้น
ผมขอแจ้งให้ทราบว่า อาจารย์ได้ถอนตัวออกจากพรรคไปนานมากแล้ว พรรคไทยภักดี ขอยืนยันว่า ทางพรรคเรา เคารพในความเชื่อของแต่ละท่าน แต่ในกิจกรรมบางอย่าง อาจมีบางสิ่งที่ทำให้สังคมเคลือบแคลงใจ
เราขอทำความเข้าใจว่า กิจกรรมเหล่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นกิจกรรมส่วนตัว ของแต่ละบุคคล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคไทยภักดี
ขณะนี้ทางพรรคได้มอบฝ่ายกฎหมาย พิจารณาดำเนินคดี ต่อเพจข่าว และบุคคลที่พยายามบิดเบือน และเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวมาทางพรรค
จึงเรียนมาเพื่อให้ทุกท่านทราบครับ”
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (17 ธ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“แจ้งข้อหา!! ตร.เผยสอบปากคำ นายสุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย หลังโพสต์เรี่ยไร แอบอ้างเบื้องสูง พบมีสติเต็มร้อย ไม่เข้าข่าย มาตรา 112 แต่มีความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามกฎหมายอาญา ม.343 และ ม.344, นำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ม.14(1)
ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ภาพ พร้อมข้อความว่า
“เชิญตัว !!! พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท เชิญตัวอาจารย์คนดังไปสอบสวน หลังพบเปิดบัญชีบริจาค ระบุนำเงินไปทำพิธีบายศรี จนมียอดเงินบริจาคนับล้านบาท โดยเตรียมแถลงอีกครั้งที่ บช.สอท.
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า
“ใครก็ตามที่ให้ความเห็นว่า การย้ายพรรคของ ส.ส. เป็นเรื่องธรรมดา ก็เหมือนกับนักฟุตบอลสโมสร ที่ย้ายทีมกันไปมา จะว่าไปก็เท่ากับเป็นการยอมรับความจริงนะ เพราะนักฟุตบอลเขาย้ายทีมก็เพราะถูกซื้อตัวจากทีมเดิมไปอยู่ทีมใหม่ ถ้าการย้ายพรรคของ ส.ส.เหมือนกับการย้ายทีมของนักฟุตบอล ก็เท่ากับยอมรับว่า ส.ส.ที่ย้ายพรรค ก็เพราะถูกซื้อตัวจากพรรคหนึ่งไปอีกพรรคหนึ่งใช่หรือไม่”
แน่นอน, เรื่อง ส.ส.ย้ายพรรค ยังมีความเห็นที่หลากหลาย บ้างว่า เป็นเรื่องธรรมดาของประชาธิปไตย ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินและเลือกเอง บ้างก็ว่า ไม่ปกติ เพราะประเทศที่พัฒนาประชาธิปไตยแล้ว จะมีการย้ายพรรคน้อยมาก เพราะมีอุดมการณ์ที่ยึดแน่น รวมถึงที่เห็นว่า อาจมีการซื้อตัวเหมือนนักฟุตบอลหรือไม่ แม้ว่าข้อเท็จจริง อาจไม่ใช่เรื่องซื้อตัว แต่อาจเป็นเรื่องของพรรคที่สังกัด ไม่เปิดโอกาสให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือ อาจเนื่องมาจากคำนึงถึงฐานเสียงนิยมพรรคไหน กระแสพรรคไหนแรง ก็ย้ายไปอยู่พรรคนั้น ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คือ การเมืองไทย ยังไม่สามารถพัฒนาตัวเอง ไปถึงขั้นลงหลักปักฐาน เป็นสถาบัน และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ ยังเป็นการทำงานการเมืองเพื่อช่วงชิง “อำนาจรัฐ” มากกว่าที่จะทำงานการเมือง “เพื่อประชาชน” หรือไม่จริง!?