“ปานเทพ” แจงตัวเลขผลการศึกษา สอดรับทิศทางคำกล่าวของ ไพศาล พืชมงคล “กัญชามายาบ้าหมด ประเทศไทยจะหายจนประชาชนจะหายป่วย”
วันนี้ (27 ธ.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อควา่มในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ว่า เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว คือ ปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๒ คุณไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วย รองนายกรัฐมนตรี ได้เคยโพสต์เฟซบุ๊ก “Paisal Puechmongkol” ระบุข้อความว่า
“กัญชามายาบ้าหมด ประเทศไทยจะหายจนประชาชนจะหายป่วย”[1]
ข้อความดังกล่าวนี้ คุณไพศาล พืชมงคล ได้ขยันโพสต์ข้อความนี้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
ในเวลานั้นหลายคนที่ยังไม่เข้าใจก็กลับมองเรื่องการโพสต์นี้ว่าเป็นเรื่องมุกตลกขำขันบ้าง หรือคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเป็นไปไม่ได้บ้าง แต่ความจริงแล้วหลักคิดนี้เป็นกลยุทธ์ในการลดปัญหายาเสพติด แก้ปัญหาอาชญากรรม เพิ่มคุณภาพชีวิต และกระตุ้นเศรษฐกิจ จนประสบความสำเร็จในหลายประเทศมาแล้ว
ข้อความดังกล่าวนั้นกำลังมีผลการศึกษาสอดรับอย่างต่อเนื่อง ข้อความของ คุณไพศาล พืชมงคล จึงเป็นข้อความของผู้ที่ “มาก่อนการเวลา”
โดยในสถานการณ์ที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ.... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้นำเสนอเป็นวารที่ ๒ ของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่แล้วเสร็จ หรืออาจถูกฝ่ายการเมืองอภิปรายจนยืดเยื้อและมีความเสี่ยงที่จะยังไม่แล้วเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้ แต่ก็มีเรื่องที่น่าพิจารณาดังต่อไปนี้
ประการแรก ผลการศึกษาติดตามสถานการณ์การใช้และการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ระยะที่สอง ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ รายงานโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๕ สำรวจพบว่า มีประชาชนที่ส่วนใหญ่จะใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายหรือใช้ในโรคที่กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ประกาศ แต่มีผู้ป่วยที่มีอาการหลังใช้กัญชาแล้วอาการของโรคต่างๆดังที่กล่าวมาข้างต้นดีขึ้นหรือดีขึ้นรวมกันมากถึงร้อยละ ๙๓ โดยในจำนวนนี้มีอาการดีขึ้นร้อยละ ๕๔.๘ มีอาการดีขึ้นมากร้อยละ ๓๘.๖[2]
ประการที่สอง ผลการศึกษาฉบับเดียวกันนี้ ยังสำรวจพบว่าผู้ที่ใช้กัญชาสามารถเลิกยาแผนปัจจุบันได้ร้อยละ ๓๑.๗ ลดยาแผนปัจจุบันได้ร้อยละ ๒๖.๓ รวมทั้งลดหรือเลิกยาแผนปัจจุบันรวมกันมากถึงร้อยละ ๕๘[2]
สำหรับกรณีการใช้ยาและลดหรือเลิกการใช้ยาแผนปัจจุบันนี้เป็นไปตามผลการศึกษาในต่างประเทศในปี ๒๕๖๕ ดังต่อไปนี้
วารสารห้องสมุดสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ PLoSOne ได้เผยแพร่บทความวิจัยในเรื่องผลกระทบของการให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาต่อกลุ่มธุรกิจยา โดยเผยแพร่เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕ โดยเป็นวิจัยในมลรัฐในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย (ทั้งทางการแพทย์และนันทนาการ) ในช่วง ๒๒ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ - ๒๕๖๒ พบว่า “ยอดขายยาโดยรวมลดลง”
โดยกฎหมายที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาจะส่งผลทำให้ยอดขายต่อปีของผู้ผลิตยา “ลดลง” ประมาณ ๓ พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยเฉลี่ย และยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ๑๖ มลรัฐที่เหลือที่ยังไม่ได้ทำให้กัญชาถูกกฎหมายหากทำให้กัญชาถูกกฎหมายแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายยาแผนปัจจุบันต่างๆ ลดลงไปประมาณร้อยละ ๑๑[3]
เช่นเดียวกับวารสารเศรษฐกิจสุขภาพ Health Economics ฉบับตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ในการสำรวจการจ่ายยาในมลรัฐของสหรัฐอเมริกาหลังได้ดำเนินการให้ “การนันทนาการเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย” พบว่ามี การลดการจ่ายยาต่างๆ ลง คือ ประชากรใช้ยาแก้อาการซึมเศร้าลดลงไปร้อยละ ๑๑.๑, ประชากรใช้ยาแก้วิตกกังวลลดลงไป ๑๒.๒, ประชากรลดการใช้ยาแก้ปวดไปร้อยละ ๘, ประชากรลดการใช้ยาโรคลมชักไปร้อยละ ๙.๕, ประชากรลดยาโรคจิตไปร้อยละ ๑๐.๗, ประชากรลดการใช้ยานอนหลับไปร้อยละ ๑๐.๘[4]
ประการที่สาม ผู้รับเข้าบำบัด “ยาบ้า” ในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้กัญชาสามารถถอนอาการลงแดงจากยาบ้าได้ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Harm Reduction”
โดยเฉพาะกรณีศึกษาในประเทศไทย ที่จังหวัดขอนแก่น ของนายพงษ์พัฒน์ นามูลน้อย (ไก่ เดินวนฟาร์ม) ผู้ที่หายจากการติดยาบ้าด้วยการสูบกัญชาและเลิกการใช้กัญชากลับมาเป็นพลเมืองดี และทำให้คนอื่นๆ ที่ติดยาบ้าสามารถเลิกยาบ้าด้วยการสูบกัญชาทดแทนยาบ้า (ทดแทนหมายถึงไม่ได้ใช้ร่วมกัน) และสามารถเลิกได้ทั้งยาบ้าและกัญชาในที่สุด [5]
กรณีศึกษาในประเทศไทยนี้ สะท้อนให้เห็นถึงหลักคิดของกัญชาที่ใช้เป็นยาอ่อนสามารถนำมาสู่การลดเลิกยาเสพติดที่มีความรุนแรงหรือเพื่อลดปัญหายาเสพติดรุนแรงแบบสมัครใจได้ดีกว่า เช่น ยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี เฮโรอีน แอลกอฮอล์ บุหรี่ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศ เช่น แคนนาดา เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา [6]
ตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาวารสารสาธารณสุขของอเมริกัน ชื่อ American Journal of Public Health (AJPH) ได้เผยแพร่งานวิจัยเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๔ ในการศึกษาที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ พบว่า ร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่ใช้กัญชานั้นเพื่อลดยาที่อันตรายหรือรุนแรงอย่างอื่นที่เรียกว่า “Harm Reduction” (เช่น เฮโรอิน, ฝิ่น, โคเคน, ยาบ้า, หรือแอลกอฮอล์) และพบเหตุผลที่มากที่สุด คือ ใช้กัญชาเพื่อทดแทนยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทถึงร้อยละ ๕๐ และการทดแทนกลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์ที่ผิดกฎหมายอีกร้อยละ ๓๑[7]
หัวหน้าคณะวิจัยชาวแคนาดาคนเดียวกันนี้ ได้วิจัยต่อเนื่อง และ ได้ทำงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารกัญชาและสารสกัดจากกัญชาในปีต่อมาชื่อ Cannabis and Cannabinoid Research [8] เผยแพร่เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ในการศึกษาเรื่องกัญชาแบบไปข้างหน้า (Cohort Study) ในการเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มประชากร ๕,๗๐๖ คน พบว่าการใช้กัญชาได้ประสบความสำเร็จในการทดแทนกลุ่มประชากรที่ใช้ยาที่รุนแรง โดยเฉพาะ “ยาบ้า” (Metamphetamine) และทำให้ต้องมองกัญชาเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่จะนำมาใช้เพื่อลดปัญหาผู้ที่ใช้ยาเสพติดมากขึ้น [8]
สำหรับประเทศไทยปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการเปิดให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ มีผู้ป่วยซึ่งเสพติด “ยาบ้า”ได้เข้ารับการบำบัดรักษาทั้งสิ้น ๒๐๖,๔๔๔ คน แต่เมื่อกัญชามีการใช้กันอย่างกันอย่างกว้างขวางในปี ๒๕๖๕ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยติดยาบ้าลดลงเหลือเพียง ๑๐๐,๔๕๔ คน[9] ซึ่งแปลว่ามีผู้ป่วยยาบ้าที่เข้ารับการบำบัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ “ลดลง” จากปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวนมากถึง ๑๐๕,๙๙๐ คน [9] คือ ลดยาบ้าไปแล้วครึ่งหนึ่งหรือคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๓๔ ซึ่งสอดรับกับผลการศึกษางานวิจัยในต่างประเทศเช่นกัน
และนี่คือ หนึ่งในสาเหตุที่แม้ราคายาบ้าซึ่งมีกำลังการผลิตมากขึ้น ต้นทุนถูกลง การขนส่งสะดวกขึ้น[10] แต่การที่ผู้ที่เสพยาบ้าต้องเข้ารับการบำบัดลดลงอย่างมากถึงครึ่งหนึ่งนั้น [9] สะท้อนให้เห็นว่าคนเสพยาบ้าลดลงด้วยอย่างแน่นอน จึงเป็นผลทำให้ยาบ้าซึ่งเคยมีราคาขายเม็ดละ ๑๐๐-๓๐๐ บาท ปัจจุบันมีราคาเพียง ๑๐-๓๐ บาทเท่านั้น
และถ้ามองการบำบัดสารเสพติดหรือสารออกฤทธิ์ทางจิตประสาทโดยรวม อันได้แก่ ยาบ้า เฮโรอีน กัญชา ฝิ่น ยาไอซ์ สารระเหย กระท่อม ฯลฯ พบว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้นมีประชากรที่เข้ารับการบำบัดทั้งส้ิน ๒๖๔,๑๗๗ คน แต่เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๕ ปรากฏว่า มีผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดทุกประเภทเหลือเพียง ๑๒๖,๐๑๔ คน หรือลดลงไปเมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๒ มากถึง ๑๓๘,๑๖๓ คน หรือลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่งเช่นกัน คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๒๓
แต่สำหรับผู้ที่พยายามไม่ยอมรับผลดังกล่าวนี้มักจะกล่าวอ้างว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ การใช้ยาบ้าลดลงเพราะผลกระทบของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งอาจจะมีความจริงส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ นั้นโรคโควิด-๑๙ ในประเทศไทย เป็นโรคที่คนไทยส่วนใหญ่รับมือได้แล้ว สามารถรักษาตัวเองให้หายได้โดยไม่ต้องปิดสถานประกอบการที่ใดเลย สามารถมาทำงานค้าขายเป็นปกติ ตัวเลขผู้บำบัดยาเสพติดในปีงบประมาณ ๒๕๖๕ จึงย่อมไม่น่าจะเกี่ยวกับอิทธิพลจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ แล้ว
สำหรับพิษเฉียบพลันของผู้ที่ใช้กัญชามือใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยจาก ๒๐ กว่าคนเป็น ๖๙ คนโดยการเทียบจากเดือนสิงหาคมปี พ.ศ. ๒๕๖๓ กับปี พ.ศ. ๒๕๖๔[11] พบว่ายังมาจากประวัติโดยส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการตรวหาสาร THC ว่าพิสูจน์ได้ว่าเป็นผลมาจากกัญชาจริงๆหรือไม่ ซึ่งอาจมีปัจจัยเบี่ยงเบนจากผู้ที่ใช้สารเสพติดอย่างอื่นให้ข้อมูลอันเป็นเท็จว่าใช้กัญชาเพราะเห็นว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายแล้ว จึงจะไม่ถูกเสี่ยงบังคับบำบัดหรือถูกติดตามผลให้ยุ่งยากจากคดีต่อเนื่อง
คำว่าพิษเฉียบพลันแม้จะฟังดูน่ากลัว แต่เมื่อพิจารณาอาการของพิษเฉียบพลันจากกัญชาตามที่มีการรายงานนั้น ได้แก่ หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น ความดันโลหิตสูง (เช่น เพราะตกใจ) มึนศีรษะ ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ ฯลฯ[11] ซึ่งความจริงแล้วอาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ และเป็นอาการธรรมดาสำหรับผู้ที่ใช้กัญชาเกินขนาดสำหรับตัวเอง โดยอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวซึ่งสามารถหายเองได้ที่บ้าน ยกเว้นคนที่ตื่นตระหนกในครั้งแรกๆอาจจะคิดว่าต้องใช้บริการโรงพยาบาลเท่านั้น และก็ยังไม่พบว่าใครที่ใช้กัญชาอย่างเดียวจะเกิดอาการพิษเฉียบพลันจนเสียชีวิตเช่นกัน
แต่ “กฎกัญชา” ซึ่งเป็นธรรมชาติของพืชชนิดนี้ได้ทำให้ผู้ที่ใช้กัญชาเกินขนาดได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ดังที่กล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้หลายคนลดขนาดการบริโภคลง หรือเลิกการใช้กัญชาไปก็มีมากด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น คนส่วนใหญ่ที่ใช้กัญชาที่มีผลข้างเคียงดังกล่าวนั้นมีสัดส่วนที่น้อยมากเทียบกับคนที่ไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว ปรากฏตามผลการศึกษาติดตามสถานการณ์การใช้และการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ระยะที่สอง ในการสำรวจปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ เปิดเผยโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.)ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ระบุว่าผู้ที่ใช้กัญชาส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๘๖.๔ ไม่เคยได้รับผลกระทบใดๆจากกัญชา, เคยมีอาการเมาร้อยละ ๙.๓, อาการแพ้ร้อยละ ๒[2]
แต่ข้อสำคัญจำนวนที่เกิดขึ้นที่เรียกว่าพิษเฉียบพลันในประเทศไทย ก็ยังเทียบน้ำหนักไม่ได้ต่อจำนวนประชากรที่ใช้กัญชาและได้รับประโยชน์ทางการแพทย์เกือบทั้งหมด ลดหรือเลิกการใช้ยาแผนปัจจุบันไปกว่าครึ่งหนึ่ง ลดปัญหายาเสพติดโดยรวมในประเทศไทยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ข้อสำคัญคือ ปัญหากัญชาสังเคราะห์ทางเคมี เลียนแบบกัญชาธรรมชาติด้วยราคาที่ถูกกว่า ได้ส่งผลเสียอย่างยิ่งต่อสุขภาพของคนไทย โดย รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เผยแพร่ข้อมูลอันตรายที่เกิดขึ้นจาก กัญชาสังเคราะห์ หรือสารกัญชาที่มนุษย์สร้างขึ้น นอกจากจะได้ผลประโยชน์ทางการแพทย์น้อยแล้ว ยังก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้ด้วย [12]
มิพักต้องพูดถึงยาฆ่าหญ้าไปฉีดใส่กัญชาธรรมชาติแล้วเป็นผลทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง [12]
กัญชาสังเคราะห์ และสารพิษปนเปื้อนกัญชาใต้ดิน อาจจะทำให้เกิดพิษเฉียบพลันได้อันตรายเสียยิ่งกว่ากัญชาธรรมชาติที่ปราศจากสารพิษปนเปื้อน ดังนั้นหลักประกันซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนที่จะรอดพ้นจากกัญชาสังเคราะห์ หรือสารพิษจากกัญชาใต้ดิน ก็คือการเปิดโอกาสให้พ่อบ้านแม่เรือนมีกัญชาเป็นสมุนไพรประจำบ้านเพื่อการพึ่งพาตัวเอง
ส่วนถ้าห่วงปัญหาเด็กและเยาวชน และต้องการบทลงโทษที่แรงกว่าในปัจจุบัน ก็ควรจะช่วยกันเรียกร้องบทลงโทษรุนแรงด้วยการให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาหยุดเล่นการเมือง ถ่วงเวลา แล้วหันมาร่วมแรงร่วมใจในการเร่งรัดให้ ร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง ให้เร็วที่สุด
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข
๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
[1] ผู้จัดการออนไลน์, “ไพศาล” เชื่อกัญชามายาบ้าหมด ประเทศจะหายจน-ปชช.จะหายป่วย, ผู้จัดการออนไลน์, ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕
https://mgronline.com/uptodate/detail/9620000111297
[2] สาวิตรี อัษณางค์กรชัย และคณะ. การศึกษาติดตามสถานการณ์การใช้และการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ระยะที่สอง. ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก). ๒๕๖๕
[3] Ziemowit BednarekI, et al., U.S. cannabis laws projected to cost generic and brand pharmaceutical firms billions, plos one, Published: August 31, 2022
https://journals.plos.org/plosone/article/file?id=10.1371/journal.pone.0272492&type=printable
[4] Shyam Raman, Ashley C. Bradford, Health Economics, Recreational cannabis legalizations associated with reductions in prescription drug utilization among Medicaid enrollees First published: 15 April 2022https://doi.org/10.1002/hec.4519
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/hec.4519
[5] ผู้จัดการออนไลน์, เปิดอก “ไก่ ขอนแก่น” หนุ่มวัย ๓๓ ปีเลิกยาบ้าได้เด็ดขาดเพราะกัญชา, Todayline, ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕, เวลา ๑๔.๐๖ น.
https://today.line.me/th/v2/article/mW30nJW
[6] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, หลักคิด“Harm Reduction” ทำไม “กัญชา” จะมาช่วยลดยาบ้า เหล้าและบุหรี่ได้?, ผู้จัดการออนไลน์, ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
https://mgronline.com/daily/detail/9650000103228
[7] Janice Mok, et al, Use of Cannabis for Harm Reduction Among People at High Risk for Overdose in Vancouver, Canada (2016–2018), American Journal of Public Health (AJPH) May 2021,
https://ajph.aphapublications.org/.../AJPH.2021.306168...
[8] Janice Mok, et al., Use of Cannabis as a Harm Reduction Strategy Among People Who Use Drugs: A Cohort Study, Cannabis and Cannabinoid Research, Published Online 31 May 2022
https://doi.org/10.1089/can.2021.0229
https://www.liebertpub.com/doi/10.1089/can.2021.0229
[9] ฐานข้อมูลการบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศของกระทรวงสาธารณสุข, ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
[10] เดลินิวส์ออนไลน์, ป.ป.ส. เฉลยสาเหตุทำไม ‘ยาบ้า’ ราคาถูก พบลักลอบผ่านบริษัทขนส่งปรับ ๕ หมื่น, ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕
https://www.dailynews.co.th/news/1684530/
[11] ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, ข้อมูลผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติสัมผัสกัญชา และปรึกษามายังศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี (เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕), ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
https://www.rama.mahidol.ac.th/poisoncenter/sites/default/files/public/กรณีผู้ป่วยสัมผัสกัญชาศูนยย์พิษวิทยา%20มิย%20ถึง%20สค%2065%2022Dec2022.pdf
[12] รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์, “หมอปัตพงษ์” เตือนประชาชนระวังอันตรายจากกัญชาสังเคราะห์, ผู้จัดการออนไลน์, ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
https://mgronline.com/qol/detail/9650000122714