“ทิพานัน” โชว์เม็ดเงินลงทุนพื้นที่ EEC 11 เดือน จำนวน 48,316 ล้านบาท 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด ตอกย้ำผลสำเร็จนโยบาย “พล.อ.ประยุทธ์” ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เอื้อประโยชน์คนทุกกลุ่ม วางรากฐานให้คนรุ่นถัดไป
วันนี้ (17 ธ.ค.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) มุ่งยกระดับเศรษฐกิจเพื่อพลิกโฉมประเทศ ให้ความสำคัญในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 11 เดือน 2565 คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC แล้ว จำนวน 105 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 48,316 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC มากที่สุดจากประเทศญี่ปุ่น 42 ราย เงินลงทุน 24,520 ล้านบาท จีน 9 ราย เงินลงทุน 10,956 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 2,156 ล้านบาท โดยลงทุนในธุรกิจ เช่น บริการศูนย์กระจาย สินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย บริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการควบคุมการผลิตในโรงงาน และ ระบบบริหาร จัดการสินค้าคงคลัง และ บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เป็นต้น ดดยคาดว่า ในเดือนธันวาคมจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จและความก้าวหน้าของพื้นที่ EEC ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์
“โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ วางรากฐานไว้สำหรับคนรุ่นถัดไป รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ถือเป็นการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการค้า การลงทุน ซึ่งไม่เพียงจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ EEC แต่ยังเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตไปสู่ทุกภาคของประเทศไทยและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาค ซึ่งประชาชนกลุ่มอื่นจะได้รับประโยชน์ด้วยอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ภายใต้การดำเนินการที่พล.อ.ประยุทธ์กำชับให้ทุกภาคส่วนดำเนินการตามกฎหมายด้วยความระมัดระวัง ใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว