กสม. ชี้ สถานปฏิบัติธรรมกำหนดให้ผู้ที่จะบวชต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นการเลือกปฏิบัติ แนะสำนักพุทธ-กรมการศาสนา เผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
วันนี้ (8 ธ.ค.) นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนม.ค. 64 ว่า เว็บไซต์สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ได้แจ้งให้ผู้หญิงที่สนใจจะบวชชี กับสถานปฏิบัติธรรมแห่งนั้น ต้องแสดงหนังสือรับรองของแพทย์ที่ระบุถึงผลตรวจเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus - HIV) ประกอบการพิจารณาขอรับบวชด้วย ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ในลักษณะดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ประสงค์จะบวช
จากการตรวจสอบและการรับฟังข้อเท็จจริง สถานปฏิบัติธรรมผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาลิดรอนสิทธิของผู้ติดเชื้อเอชไอวี การขอให้ผู้ที่ประสงค์จะบวชชีตรวจโรคต่างๆ ได้แก่ เอชไอวี วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ และสารเสพติด เป็นไปเพื่อการดูแลคนที่มาอยู่รวมกันหมู่มากให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างถูกสุขอนามัย เท่านั้น ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลสรุปได้ว่า เชื้อเอชไอวีจะไม่ติดต่อจากการทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป เช่น การจับมือ การใช้ห้องน้ำ การรับประทานอาหารร่วมกัน การสัมผัสเหงื่อ น้ำตา น้ำลายที่ไม่มีเลือด และไม่ติดต่อผ่านทางระบบหายใจ แต่จะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ หรือการได้รับเลือดจากผู้ติดเชื้อเท่านั้น อีกทั้งเชื้อเอชไอวีเป็นเชื้อที่ตายง่ายเมื่ออยู่นอกร่างกาย หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับประทานยาต้านเชื้ออย่างต่อเนื่อง ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป และอาจตรวจไม่พบเชื้อหรือพบแต่น้อยมากในระดับที่ไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
เมื่อตรวจสอบระเบียบปฏิบัติของมูลนิธิสถาบันแม่ชีไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กำหนดหนึ่งในคุณลักษณะของผู้ที่ประสงค์จะบวชชีไว้ในระเบียบว่า มิได้เป็นโรคที่ต้องห้าม อันเป็นโรคร้ายแรงหรือโรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำนักชีแห่งหนึ่งซึ่งลงทะเบียนกับมูลนิธิสถาบันแม่ชีไทย เคยอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีบวชชีได้ในระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากไม่ได้ขัดต่อระเบียบปฏิบัติ อีกทั้งการปฏิบัติธรรมในระหว่างการบวชชี ไม่มีกิจกรรมใดที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ของเชื้อ
ขณะเดียวกัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า กฎ ระเบียบ พุทธบัญญัติ ไม่มีการบัญญัติกรณีการบรรพชาอุปสมบทให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีเพียงแนวทางการปฏิบัติในปัจจุบันที่การบรรพชาอุปสมบทให้กับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพระอุปัชฌาย์ในการพิจารณาว่าอาการเจ็บป่วยของโรคเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาพระธรรมหรือไม่ นอกจากนี้ กฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับการบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุสงฆ์ ก็กำหนดเพียงว่า ผู้ประสงค์จะบรรพชาต้องเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ และมีเพียงข้อห้ามของมหาเถรสมาคมที่ไม่อนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทกับคนที่มีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย เท่านั้น
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดให้ผู้ประสงค์จะบวชชีต้องแสดงเอกสารตรวจสุขภาพ โดยระบุให้ตรวจเชื้อเอชไอวีก่อนจะรับเข้าบวช เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่เกินสมควรแก่ความจำเป็น จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยอาศัยเหตุแห่งสุขภาพ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อเดือน พ.ย. 65 พบว่า สถานปฏิบัติธรรมผู้ถูกร้องได้ยกเลิกเงื่อนไขให้ผู้ประสงค์จะบวชชีต้องแสดงหนังสือรับรองผลการตรวจเชื้อเอชไอวีแล้ว จึงถือว่า ข้อร้องเรียนได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน กสม. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยให้ทั้งสองหน่วยงานประสานกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีให้กับหน่วยงานศาสนาต่างๆ อาทิ วัดพระพุทธศาสนา สำนักสงฆ์ สำนักชีไทย สถานที่ปฏิบัติธรรม และอื่นๆ เพื่อให้มีความเข้าใจและมิให้มีการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมโดยอาศัยเหตุแห่งการติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นข้อจำกัดที่ลิดรอนโอกาสในการเข้าถึงเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักศาสนาทุกศาสนา