ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ใครหนอชอบสะสมนาฬิกา? รมต.ไหนเอ่ยเอี่ยวทุนจีนสีเทา? “ชูวิทย์” จัดทิ้งทวนถึง “ธรรมนัส” !!
เป็นไปตามคาดหมาย เมื่อคู่แค้นทางแคบระหว่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจ หลังจากที่ ชูวิทย์ ยื่นฟ้องอาญา และแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน เมื่อวาน (23 พ.ย.) ทั้งสองคนก็กลับมาเผชิญหน้ากันตามที่ฝ่ายแรกมีกำหนดเดินทางมาที่รัฐสภา เกียกกาย เพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขณะที่ “สันธนะ” รู้ความเคลื่อนไหวก็ประกาศไว้ล่วงหน้าจะมาด้วย
ที่บริเวณโถงทางเข้ารัฐสภา ฝั่ง ส.ส. เมื่อยื่นหนังสือเสร็จ เห็นว่า “ชูวิทย์” พอทราบว่า “สันธนะ” จะเข้ามายื่นหนังสือที่บริเวณจุดรับยื่นหนังสือรัฐสภาศาลาแก้ว ชูวิทย์ จึงได้ดักรอคู่แค้น ... ความบันเทิงก็เป็นของท่านผู้ชมชาวโซเชียลฯ ที่เกาะติดศึกนี้ ท่ามกลางการรักษาความสงบของตำรวจสภา อย่างหนาแน่น กันไม่ให้มวยคู่อาฆาตทั้งสองเข้าถึงเนื้อถึงตัวกันได้ ป้องกันการออกอาวุธปะทะกันจริงๆ สิ่งที่ทำได้ก็เป็นเพียง การเปิดเครื่องด่าของชูวิทย์ นานกว่าครึ่งชั่วโมง อาทิ “ไอ้มาเฟียขี้แง ไอ้สันขวาน ไอ้ควาย มึงเก่งจริงไม่ใช่หรือ มาเจอกับกูตัวต่อตัวดีกว่า มาคุยกัน ใส่กระโปรงมาหรือเปล่า”
งานนี้ “สันธนะ” สวมบทน้ำนิ่งไหลลึก ตะโกนกลับมาเพียงแค่ “กินน้ำบ้างนะ เดี๋ยวคอแห้ง” จากนั้นก็ต่างคนต่างไป
สำหรับการปะทะกับ “สันธนะ” ตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ “เฮียชู” บอกว่า เป็นเรื่องไร้สาระ แต่สาระจริงๆ ที่เขาต้องการสื่อ ก็คือ “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด วันเดียวกันนี้ “หาว เจ๋อ ตู้” หรือชื่อไทย “ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์” หรือ "ตู้ห่าว" ออกจากแหล่งกบดานเข้ามอบตัวกับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่สโมสรตำรวจเรียบร้อย แต่ปัดเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามข้อกล่าวหา
เรื่องนี้ก็ต้องให้เครดิต “เฮียชู” ที่กัดติด เปิดโปงขบวนการ “ทุนจีนสีเทา” มาตั้งแต่ต้น ซึ่ง ชูวิทย์ ได้นำหลักฐานให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้วเล่าเบื้องหลังการหลบหนีของ “หาว เจ๋อ ตู้” ในวันที่ตำรวจบุก “ผับจิ้งหลิง” ว่า ตู้ห่าว อยู่ที่นั่น แต่มีการนำตู้ห่าวออกไป เหลือหลานไว้ จากนั้นก็เคลียร์ให้หลานออกมา และมีรถสี่คัน ทั้ง รถโรลส์-รอยซ์ และ เบนท์ลีย์ เรื่องเหล่านี้ “เฮียชู” ตั้งคำถาม ปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผ่านมาเกือบเดือน หมายจับเพิ่งออกวันนี้ ทั้งที่เป็นคดีร้ายแรง
พร้อมกันนี้ ก็ตั้งข้อสังเกตว่า “ตู้ห่าว” สนิทกับใคร รัฐมนตรีคนไหน?
จากที่เคยเปิดเรื่องสนามบินไป ก็พบว่าเครื่องบินที่ตู้หาว ใช้โดยสารมีความเชื่อมโยงกับรัฐมนตรีคนหนึ่ง และมักจะใช้เครื่องบินลำนี้ไปใช้หาเสียงอยู่บ่อยๆ อีกทั้งการขออนุญาตลงจอด ก็ต้องขออนุญาตโดยรัฐมนตรี ไม่ใช่ “ตู้ห่าว” เพราะตู้ห่าวไม่ได้เป็นสมาชิกฝูงบิน 604 ซึ่งแสดงถึงอิทธิพลของตู้ห่าว
“เฮียชู” ยังทิ้งบอมบ์ไว้อีกว่า “ตู้ห่าว” เป็นคนจีนไม่รู้เรื่องการเมืองไทย แต่มีคนพาตู้ห่าวไปพบกับ “คนที่ชอบสะสมนาฬิกา “ เพื่อไปกราบให้เห็นถึงบารมี จากนั้นก็มีการส่งมอบนาฬิกาปาเต๊ะ มูลค่า 10 ล้านบาทให้ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเงินหลาย 100 ล้าน เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงเงินบริจาคให้พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 3 ล้านบาท
ถามว่า รัฐมนตรีที่เข้ามาเอี่ยวกับกลุ่มทุนสีเทาผู้นี้เป็นใคร ?
แรกๆ “ชูวิทย์” ไม่ตอบคำถาม แต่ได้เป่าปากแทนคำตอบ กระทั่งถามย้ำอีกครั้ง “เฮียชู” จึงบอกใบ้เพิ่มว่า เป็นอดีตรัฐมนตรีที่เคยอยู่พรรคพลังประชารัฐ และสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการโทรศัพท์มาเคลียร์ และบีบด้วยวิธีการมาเฟียทุกรูปแบบ แต่ยืนยันว่า ไม่กลัว และพร้อมรับผิดชอบคำพูดตนเอง วันนี้เผชิญวิบากกรรม เป็นสัมภเวสีอยู่ ซึ่งไม่เคยกลัว และจะรอ
มาถึงตรงนี้ทีเด็ดของ “ชูวิทย์” แม้ไม่พูดชื่อรัฐมนตรีตรงๆ ก็จริง แต่เปิดโทรศัพท์ให้สื่อดูหลักฐาน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะมอบให้ กมธ. ป.ป.ช. และ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เพราะมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว โดยหลักฐานดังกล่าวคนตาดีเห็นเป็นเอกสาร ลงวันที่ 9 มีนาคม 2565 ขออนุญาตเที่ยวบินส่วนบุคคลบินขึ้นลง และจอดพัก ที่ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด โดยมี “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย เดินทางมากับเที่ยวบิน HS-HAO นี้ด้วย
“เฮียชู” ยืนยันว่า ส่วนตัวไม่มีปัญหา หรือบาดหมางกับ “ร.อ.ธรรมนัส” แต่ “สันธนะ” เป็นคนพูดเองในรายการทีวีรายการหนึ่ง ว่า ร.อ.ธรรมนัส ฝากให้เขาดูแลคนจีนเหล่านั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการพาดพิงถึงชื่อ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า ไม่ได้มาจากตัวเอง
งานนี้ “เฮียชู” ก็เป็นมวย ตบท้ายว่า หลักฐานที่มี ไม่ทราบว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ กลุ่มทุนจีน แต่หลักฐานทั้งหมดจะมอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้น และอยากให้เร่งดำเนินการ
จากนี้ไปก็จะเป็นหน้าที่ของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ที่จะดำเนินการ “หักคนพาล” ต่อไป งานนี้ต้องติดตามกันอย่ากะพริบตา!
** ปีหน้าชัดเจน!! “ลุงตู่” ยังอุบเส้นทางการเมืองจะแยกจาก “ลุงป้อม” หรือไม่
จากข่าว “อินไซด์ ครม.” ที่ปล่อยออกมาว่า ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน หลังการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีให้ช่วยกันทำงาน เพราะรัฐบาลจะอยู่ยาวไปถึงเดือนมีนาคมปีหน้า ...
แม้เรื่องนี้ทั้ง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม จะไม่ยืนยัน โดยอ้างว่าไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะ แต่นั่นก็เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า “ลุงตู่” จะยังไม่ยุบสภาง่ายๆ แต่จะลากยาวไปจนหยดสุดท้ายก่อนครบวาระตามกรอบเวลา เหมือนที่เคยปฏิบัติมาในหลายๆ กรณี
ช่วงนี้ก็ใช้สถานภาพความเป็นรัฐบาลทำงาน ลงพื้นที่พบปะประชาชน หาเสียงไปเรื่อยๆ ส่วนสถานการณ์ทางการเมือง ก็ปล่อยให้อยู่ในสภาพ “อึมครึม” ต่อไป
ขนาดล่าสุด เมื่อถูกถามว่า ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วหรือยัง ... คำตอบคือ “พิจารณาอยู่” เมื่อถูกทวงถามตามที่เคยบอกว่าหลังการประชุมเอเปก จะมีความชัดเจน “ลุงตู่” ยังยกมือชี้นิ้ว ตอบว่า หลังเอเปกก็ปีหน้าโน่นแหละ!!
แน่นอนว่า ความ “อึมครึม” ที่ว่านี้ ก็เป็นเหมือนแรงกดดันฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” ยังออกมาพูดจาถากถางในเชิง “ด้อยค่า” กับแผน แยกกันเดินของ “ลุงตู่กับลุงป้อม”
ประมาณว่า หาก “ลุงตู่” แยกตัวออกไปก็จะมี ส.ส.จากพลังประชารัฐ ตามไปไม่กี่คน ส่วนคนจากประชาธิปัตย์ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวก ส.ส.สอบตก!! ยากที่จะได้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำตามที่ตั้งหวัง... พร้อมกันนี้ “ทักษิณ” ยังตั้งเป้าแบบปลุกใจลูกทีม และปลอบใจตัวเองว่า เลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ถึง 280 ที่นั่ง!!
“ทักษิณ” อาจจะมั่นใจว่า กฎหมายลูกเลือกตั้งที่ใช้บัตร 2 ใบ หาร 100 นั้น เข้าทางพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และหาก “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” แยกกันเดิน ก็เหมือน “แตกแบงก์พัน” คือ พรรคพลังประชารัฐ กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะเป็นเพียงแค่พรรคขนาดกลาง เสียเปรียบเห็นๆ
แต่ต้องไม่ลืมว่า กฎหมายลูกเลือกตั้ง สูตรบัตร 2 ใบ หาร 100 นั้น ยังอยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะชี้ขาดในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถ้าผลออกมาว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างก็เดินหน้า เตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งที่ทุกคนรู้ถึงกติกาที่ชัดเจน แต่ถ้าศาลชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ กติกาเลือกตั้งก็เหมือนอยู่ในกำมือของลุงตู่ ที่อาจจะ “อึมครึม” และพร้อมที่จะ “พลิกผัน” ได้ตลอดเวลา
เราอาจจะได้เห็นความชัดเจนของ “ลุงตู่” เมื่อกฎหมายเลือกตั้งมีความชัดเจน !!