“องอาจ-มาดามเดียร์” นำทีม ปชป.ตั้งวงเสวนา “ดูบอลโลกในไทย ทำไมเป็นแบบนี้?” ประสานเสียง ต้องทบทวนกฎ “Must Have Must Carry” แก้ปัญหาลิขสิทธิ์บอลโลก
วันนี้ (20 พ.ย.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. ได้จัดเสวนา “ดูบอลโลกในไทย ทำไมเป็นแบบนี้?” โดยมี น.ส.วทันยา บุนนาค “มาดามเดียร์” อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ และประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพมหานคร นายอภิมุข ฉันทวานิช อดีต ส.ก. ของพรรค นายเขมทัตต์ พลเดช อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อสมท นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าร่วมการเสวนาดังกล่าว
โดย นายองอาจ กล่าวเปิดงานเสวนาโดยการเชิญชวนให้ผู้ฟังร่วมตั้งคำถามไปพร้อมๆ กับผู้ร่วมเสวนา ว่า การดำเนินการเรื่องลิขสิทธิ์บอลโลก ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเกิดคำถามมากมายหลายประการ ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ เพราะสามารถรู้ล่วงหน้าได้ 4 ปี เหตุใดการซื้อลิขสิทธิ์ในคราวนี้ จึงมีปัญหาแตกต่างจากทุกครั้ง
นายไพศาล ตั้งข้อสังเกตว่า ในต่างประเทศจะให้ภาคเอกชนเป็นองค์กรหลักในการซื้อลิขสิทธิ์บอลโลก อย่างในเกาหลีใต้ มี Star Hub และสิงคโปร์ มี Singtel ซึ่งเป็นภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ ซึ่งมีทั้งแบบ Pay Per View และดูฟรีบางแมตช์ จึงตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยจึงให้หน่วยงานภาครัฐอย่าง กสทช. ซึ่งมีกองทุน กทปส. และ USO ส่วน กกท. มีกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เข้ามามีบทบาทในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกได้ ทั้งๆ ที่ควรจะทำหน้าที่เป็น Regulator และสนับสนุนการพัฒนากีฬาของชาติ ในฐานะนักกฎหมายเมื่อดูอำนาจหน้าที่ของกองทุนดังกล่าวตามรายมาตราก็ไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกแต่อย่างใด ดังนั้น การอนุมัติจ่ายเงิน “กองทุน กทปส.” เพื่อได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ของกรรมการ กสทช. จึงน่าจะขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุนดังกล่าวและไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่
ในขณะที่ น.ส.วทันยา มองว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากกฎ Must Carry หรือ Must Have ที่ กสทช. ออกเป็นกฎไว้หลังจากการประมูลทีวีดิจิทัล ที่ต้องการประชาชนสามารถเข้าถึงรายการถ่ายทอดสดเวทีสำคัญระดับชาติโดยไม่ถูกปิดกั้นจากเจ้าของผู้ประมูลลิขสิทธิ์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยฟุตบอลโลกปี 2014 แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นว่ากฎ Must Carry นั้นบิดเบือน แทรกแซงกลไกตลาดในการซื้อขายลิขสิทธิ์ เพราะเป็นที่ทราบว่า มูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดรายการนั้นแปรผันตามฐานจำนวนผู้ชม ยิ่งมีคนดูมาก ค่าลิขสิทธิ์ก็ย่อมแพงขึ้น และกีฬาฟุตบอลโลกนั้นมีมูลค่าทางการตลาดสูง ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการซื้อลิขสทธิ์ ซึ่งเงินจากทั้ง 2 กองทุน ถือเป็นการใช้ภาษีของประชาชนทุกคนทางอ้อม การซื้อลิขสิทธิ์ควรเป็นเรื่องธุรกิจของภาคเอกชนซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านการตลาดและการถ่ายทอดสดมากกว่า ภาครัฐจึงไม่ควรแทรกแซงเพราะทำให้กลไกการตลาดบิดเบือน
“ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมลิขสิทธิ์บอลโลก 2022 ของไทย จึงได้แพงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน หากยังแก้ไขปัญหาแบบนี้ ก็คงไม่ต่างจากขว้างงูไม่พ้นคอ ด้วยการออกกฎ Must Carry ปกป้องประชาชน แต่สุดท้ายก็ต้องนำเงินประชาชนมาใช้อยู่ดี แถมยังกลายเป็นของหวานให้ต่างชาติรีดเงินเพิ่ม และที่สำคัญ แม้จะมีข้อสรุปว่าประเทศไทยสามารถถ่ายทอดฟุตบอลโลกได้แล้ว ก็ต้องมาดูเรื่องความเป็นธรรมในการจัดสรรแมตช์การถ่ายทอดให้กับทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ ด้วยเช่นกัน” นางสาววทันยา กล่าว
ด้าน นายเขมทัตต์ กล่าวว่า ฟุตบอลโลกเป็นกีฬา 1 ใน 3 ประเภทที่มีผู้นิยมติดตามชมมากที่สุดในโลก จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า รายการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่ 4 ปี ถึงจะวนกลับมาหนึ่งครั้ง สามารถเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย และมีมูลค่าที่สูงเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับรายการถ่ายทอดประเภทอื่นๆ ซึ่งฟีฟ่าจะมีตัวกลางทำหน้าที่ในการเจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์ในรูปแบบเชิงพาณิชย์ ดังนั้น ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด กสทช. ต้องทบทวนบทบาทหน้าที่และแก้ไขกฏระเบียบ รวมทั้งพัฒนาให้ทันเทคโนโลยีในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อให้ผู้ได้รับลิขสิทธิ์สามารถวางแผนการถ่ายทอดสดได้ ในกรณีของไทยที่มีกฎ Must Carry ทำให้เจ้าของธุรกิจไม่อยากเข้าไปลงทุน เพราะไม่คุ้มค่า เนื่องจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไม่สามารถนำไปหารายได้เพื่อทำกำไร เพราะไม่ได้สิทธิแบบ Exclusive เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่มีช่องโทรทัศน์หรือเจ้าของแพลตฟอร์มรายใดอยากเข้าไปประมูลลิขสิทธิ์ เพราะไม่ได้ประโยชน์แถมมีโอกาสขาดทุนชัดเจน
ส่วน นายอภิมุข กล่าวว่า แฟนบอลส่วนใหญ่รู้สึกว่าต้องได้ดูบอลโลก แต่ทำไมปีนี้ต้องรอลุ้นจนถึงนาทีสุดท้ายว่าจะได้ดูหรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ฟุตบอลโลกเงียบเหงาที่สุด ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ผับ บาร์ ไม่มีการตกแต่ง หรือจัดกิจกรรมเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่การแข่งขันเกิดขึ้นในทวีปเอเชีย พร้อมทั้งระบุว่า ในช่วงระหว่างรอฟังผลว่าจะได้ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกหรือไม่ ได้กลายเป็นการเปิดช่องให้เว็บพนันออนไลน์ อีกทั้งนักพนันแบบขาจรกว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งเป็นเยาวชนที่สมัครสมาชิกไปแล้วเข้ามาในเว็บมากขึ้น แม้จะมีการถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีแล้วก็ตาม แต่เยาวชนก็ยังสามารถเข้าไปดูหรือเล่นการพนันได้อยู่ดี ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง