ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ได้แสงกันถ้วนทั่ว ต้านกฎกระทรวงขายที่ดินให้ต่างชาติ “ลุงป๊อก” พร้อมเลิก ไม่ถือว่าเสียหน้า ขณะรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ยืนหลักการเดิม แต่ปรับแก้รายละเอียดได้
ยังมีกระแสคัดค้านอย่างต่อเนื่องสำหรับร่าง “กฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. ....” หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “กฎกระทรวงให้ต่างชาติซื้อที่ดิน” ซึ่ง ครม.อนุมัติหลักการ เมื่อวันอังคารที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยเมื่อวันก่อน เทพ โพธิ์งาม หรือ “ป๋าเทพ” ตลกอาวุโส ให้สัมภาษณ์สื่อที่ไร่ป๋าเทพ จ.ราชบุรี บอกว่าเชียร์รัฐบาลอยู่ตั้งแต่ไหนมาแล้ว แต่ในเรื่องที่จะเอาที่ดินไปขายให้ต่างชาติ เอาทรัพย์สินของคนไทยที่เราได้สร้างกันเอาไว้ ปู่ย่าตายาย เสียสละชีวิตรักษาไว้ให้ลูกหลานมีที่อยู่อาศัยไปขาย แบบของขายตามตลาดนัด เรียกเขามาซื้อแบบนี้มันไม่ไหว
ส่วน “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ได้ฤกษ์ ได้ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวาน (3 พ.ย.) ขอให้มีคำสั่ง หรือคำพิพากษาเพิกถอนกฎหรือคำสั่ง หรือสั่งห้ามการนำร่างกฎกระทรวงไปใช้ และขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามกฎโดยสั่งชะลอ หรือระงับการดำเนินการใดๆ ตามกฎหรือมติดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
“พี่ศรี” ให้เหตุผลว่า มติ ครม.ที่เห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ถือเป็นมติอัปยศที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไร้ความสามารถที่จะแสวงหารายได้เข้าแผ่นดิน เป็นการไม่คำนึงว่าการให้ชาวต่างชาติมายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินอย่างถาวรนั้นจะกระทบกับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศในระยะยาว เปรียบได้กับ “ทฤษฎีกบต้ม” ที่กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว
ส่วน “เต้ พระราม7” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.หนึ่งเดียวของพรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะกรรมาธิการการทหาร เสนอไอเดียแบบประชดประชัน ให้ใช้พื้นที่ทางทหาร 4.5 ล้านไร่ เป็นแปลงทดสอบปล่อยเช่า หรือขายให้ต่างชาติ พร้อมเสนอให้นายกฯ ออกจากบ้านพักภายในค่ายทหารเพื่อเอาไปให้ต่างชาติเช่า เป็นการสร้างรายได้ให้แก่รัฐ และจะเดินทางไปศาลปกครองใน วันนี้ (4 พ.ย.) เพื่อขอให้คุ้มครองชั่วคราวมติ ครม. เรื่องการขายที่ดินให้ต่างชาติ ดังกล่าว
หลายคนฟังแล้วก็อาจจะงงๆ กับประเด็นที่ “เต้” จะฟ้องศาลปกครอง เพราะมติครม.เป็นแค่การอนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวง ยังไม่มีผลใช้บังคับเลย แล้วศาลปกครองจะไปสั่งคุ้มครองอะไร
ส่วน “สุทิน คลังแสง” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน ก็ตั้งกระทู้ถามสดในสภาว่า กฎกระทรวงนี้สร้างความวิตกว่าต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดิน ถึงขั้นถูกมองเป็น “กฎหมายขายชาติ” อยากทราบมีความจำเป็นอย่างไรต้องมีมตินี้ออกมา พร้อมอ้างว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขไอเอ็มเอฟ ปี 2542 ทำให้รัฐบาลปี 2545 ออกมาตรการให้คนต่างชาติซื้อที่ดินได้ แต่เป็นการทำด้วยความรอบคอบ มีมาตรฐาน ทำให้มีชาวต่างชาติมาซื้อดินแค่ 7-8 ราย ควบคุมได้ผล แต่ขณะนี้มีความจำเป็นบีบบังคับอะไรต้องออกมาตรการนี้
ข้อมูลของประธานวิปฝ่ายค้าน น่าจะขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของ “รองนายกฯ วิษณุ เครืองาม” เมื่อวันที่ก่อน ที่บอกว่า ต่างชาติที่ซื้อที่ดินตามเงื่อนไขกฎกระทรวงปี 2545 นั้น มีมากมายเหลือเกิน แต่ส่วนใหญ่ซื้อที่ดินขนาด 100 ตาราวาง ส่วนที่ว่า 7-8 รายนั้น เป็นรายที่ซื้อที่ดินขนาด 1 ไร่เต็ม
อย่างไรก็ตาม กระทู้ถามสดของประธานวิปฝ่าย ก็ได้รับคำตอบจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ว่า มาตรการนี้มาจากคณะกรรมการเศรษฐกิจเชิงรุก เพราะวิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเปิดโอกาสให้คนต่างชาติมาลงทุน โดยมีแรงดึงดูดเรื่องที่อยู่อาศัยเพื่อให้เข้ามาลงทุนระยะยาว และมีเงื่อนไขรัดกุมกว่าเดิมในปี 2545 ไม่มีเจตนาขายชาติ
ส่วนที่เกรงว่าคนต่างชาติจะซื้อที่ดินจำนวนมากเป็นผืนใหญ่ ก็จะออกกฎเกณฑ์ไม่ให้ซื้อที่ดินแปลงติดกันทำเป็นหมู่บ้านได้ อีกทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องนำเรื่องนี้ไปรับฟังความเห็นประชาชนก่อน
“เราอาจจะกำหนดให้เข้มงวดหรือยากกว่านี้ เช่น เพิ่มการลงทุนเป็น 100 ล้านบาท หรือเพิ่มเวลาลงทุนจาก 3 ปี เป็น 10 ปี แล้วส่งให้ ครม.พิจารณาใหม่ หรืออาจจะล้มเลิกไปเลย ถ้าประชาชนกังวลมาก ไม่ถือว่าเสียหน้า” มท.1 ตอบฝ่ายค้านกลางสภา
ส่วน “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มีแนวนโยบายเสรีนิยมแบบเต็มคาราเบล ก็ยังไม่วายโหนกระแส “กฎกระทรวงขายชาติ” ตั้งกระทู้ถามสดในสภาเช่นกัน ทำนองว่าการให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินเมืองไทย ได้คำนึงเรื่องการฟอกเงินจากการซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรหรือไม่ หรือมีมาตรการควบคุมหากต่างชาติซื้อที่ดินแล้ว ปล่อยเช่าให้คนไทย จะทำอย่างไร พร้อมสำทับว่า มาตรการจูงใจให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินเมืองไทยด้วยวิธีนี้ “โบราณมาก” ไม่เรียงลำดับความสำคัญการกระจายที่ดินเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจฐานราก
“สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ตอบกระทู้ของ “พิธา” ว่า มีการตั้งเป้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาอยู่เมืองไทยระยะยาว 1 ล้านคน จะสร้างรายได้ให้ประเทศไทย 1 ล้านล้านบาท แต่มาตรการให้คนต่างชาติครอบครองที่ดินไทย เป็นมาตรการเสริมให้คนที่รัก และอยากมาอยู่จริงๆ เท่านั้น เพราะเขาสามารถเช่าระยะยาว เช่าคอนโดมิเนียม หรืออยู่โรงแรม ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการซื้อที่ดิน
ส่วนการซื้อที่ดินต้องใช้เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น ใครทำผิดเงื่อนไข ก็ถูกยกเลิกสิทธิได้ตลอดเวลา และถ้าจะมาซื้อที่ดินทำเป็นคอนโดให้เช่า ไม่สามารถทำได้ ส่วนที่กังวลจะใช้การซื้อที่ดินเป็นช่องทาง “ฟอกเงิน” นั้น มีการคัดคุณสมบัติคนซื้อ ต้องทำอาชีพสุจริต ไม่ขัดกฎหมาย
การบอกว่าเป็นวิธีโบราณ ขอให้กลับไปศึกษาว่า ทุกวันนี้นักลงทุนมองประเทศไทยน่าอยู่ เป็นฐานลงทุนใหม่ อย่ามองประเทศเชิงลบ ไม่น่าเชื่อยังมีคนยกข้อครหาแบบนี้มาพูด ให้ไปดูอีกหลายประเทศมีมาตรการบริหารจัดการผ่อนปรนที่ดินมากกว่าประเทศไทย
“รองฯ สุพัฒนพงษ์” ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมภายหลัง ว่ากฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์เดิม ซึ่งคนที่ได้รับสิทธิ์เป็นบุคลากรใน 4 กลุ่ม ที่เข้ามาพำนัก ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น หลักเกณฑ์ต่างๆ สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นสามารถดำเนินการนำร่องไปก่อน
ทั้งหมดนี้อยู่ที่ความเข้าใจ เพราะนี่คือการนำร่องภายใต้กรอบของประเทศไทยที่ได้ตั้งไว้ ถ้าประสบผลสำเร็จก็เดินหน้า แต่หากติดขัดต้องมาดูสาเหตุเกิดจากด้านใด หากไม่ดีสามารถยุติ หรือพิจารณาทำใหม่ให้เข้มข้นขึ้นได้ เพราะไม่ถึงขั้นออกเป็นพระราชบัญญัติ
“รองฯ สุพัฒนพงษ์” ย้ำว่าไม่จำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงนี้แล้ว เพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนในสาระสำคัญจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นเรื่องเดิมตั้งแต่ปี 2545
ฟังจากท่านรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ก็คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ร่างกฎกระทรวงให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ที่ครม.อนุมัติไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค. จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญอีกแล้ว นอกจากจะปรับแก้ในรายละเอียดของหลักเกณฑ์ต่างๆ ตามที่มีข้อสังเกต หรือข้อเสนอแนะมา
ก็ได้แต่หวังว่า เงื่อนไขที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นจะรัดกุมรอบคอบยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ให้กฎกระทรวงฉบับนี้กลายเป็นกฎกระทรวงขายชาติ อย่างที่เขาว่าๆกัน
**“บิ๊กกุ้ย” ประธานป.ป.ช. แย้มมีคดีของนักการเมืองดัง รอขึ้นเขียง 3-5 คดี ช่วงสิ้นเดือนพ.ย.นี้
หลังจากที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด “เสี่ยเอ๋” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แกนนำ “กลุ่มปากน้ำ” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกอบจ.สมุทรปราการ ในคดีทุจริตเรื่องเงินทอนวัด โดยเหตุเกิดมาหลายปีแล้วแต่เพิ่งมาชี้มูลเอาตอนนี้ จึงมีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า สงสัยงานนี้มีการเมืองแทรก จากกระแสข่าวว่า “เสี่ยเอ๋” จะพาลูกทีมย้ายค่าย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. ที่ไปร่วมงานมอบโล่เกียรติยศ รางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) เลยถือโอกาสชี้แจงคำครหาดังกล่าวว่า คดีของ”เสี่ยเอ๋” ที่ใช้เวลาไต่สวนนาน เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้ไปไต่สวนบางประเด็นเพิ่ม ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้วจึงเอาเข้าที่ประชุม ไม่เกี่ยวกับ “ใบสั่งการเมือง” เพราะหัวใจสำคัญของการทำงานของป.ป.ช. คือ ความครบถ้วนในพยานหลักฐาน มากกว่าเรื่องเวลา ซึ่งก็มีกรอบอยู่
ว่าแล้ว“บิ๊กกุ้ย” แย้มยังให้นักข่าวหูผึ่งว่า ช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ มีเรื่องใหญ่ ของระดับนักการเมืองสำคัญ ที่รอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ 3-5 เรื่อง มีไทม์ไลน์ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเป็นใคร เรื่องอะไรนั้น ขออุบไว้ก่อน
ต้องรอปลายเดือนนี้ “แจ๊กพอต” จะออกที่ใคร !!
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ยังมีบุคคลที่เป็นเครือข่ายนักการเมืองดัง ถูกเชือดให้เห็นอีก นั่นคือ กรณี “ผู้ว่าฯหมูป่า” ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.ปทุมธานี เซ็นปลดนายกคนดังเมืองปทุมฯ “สายัณ นพขำ” หรือ “นายกแป๊ะ” นายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี ไปเมื่อ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องถึง รมว.มหาดไทย ชี้มูลความผิด “นายกแป๊ะ” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในโครงการก่อสร้างถนนลูกรัง ซ่อมแซมถนน วางท่อระบายน้ำอื่นๆ 7 โครงการ
สำหรับ“นายกแป๊ะ” สายัณ นพขำ เจ้าของรถบรรทุกดินทราย "ป.นำโชค" เป็นนายก อบต.บ้านกลาง มาหลายสมัย ก่อนยกฐานะมาเป็น “เทศบาลตำบลบ้านกลาง” ก็ยังได้รับเลือกตั้งชนะคู่แข่งอย่างขาดลอย ได้เป็นนายกเทศมนตรี
"นายกแป๊ะ" ยังเป็นพ่อของ "ส.ส.เต๋า" ศุภชัย นพขำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (เขต 2 ปทุมธานี) และเป็นพี่ชายของ “สุทิน นพขำ” อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 1 ปทุมธานี
นอกจากนี้เขายังเป็นคนสนิทของ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังมีบทบาทในการจัดตั้งทีมผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี อีกด้วย
เมื่อ “นายกแป๊ะ” ถูกเชือด ย่อมกระทบต่อเครือข่ายการเมืองของพรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี แน่นอน