“พิธา” ตั้งกระทู้ถามสดเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงขายที่ดินให้ชาวต่างชาติ ว่า ซัดวิธีโบราณให้ต่างชาติซื้อที่ หวั่นเปิดช่องให้ฟอกเงิน “สุพัฒนพงษ์” โต้อย่าด้อยค่าประเทศ
วันนี้ (3 พ.ย.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงขายที่ดินให้ชาวต่างชาติ ว่า ดูไม่ออกเป้าหมายที่แท้จริงการให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินเมืองไทยคืออะไร มีการคำนึงเรื่องการฟอกเงินจากการซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรหรือไม่ หรือมีมาตรการควบคุมหากต่างชาติซื้อที่ดินแล้ว ปล่อยเช่าให้คนไทย จะทำอย่างไร สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น อังกฤษเปิดให้คนต่างชาติมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคาบ้านในอังกฤษ สูงขึ้นทันที 19% และข้อมูลปี 2562 พบผู้มีรายได้น้อย 28% ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง หรือคน 1 ใน 3 ของประเทศ ยังไม่มีที่อยู่ แต่กลับไปขายที่ดินให้ต่างชาติ โดยเฉพาะการให้คนชาติพันธุ์ที่อยู่เมืองไทยมานานครอบครองที่ดิน มีเงื่อนไขเยอะแยะ แต่การให้ต่างชาติครอบครองที่ดิน มีเงื่อนไขไม่ถึง 5 บรรทัด มาตรการจูงใจให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินเมืองไทยด้วยวิธีนี้ โบราณมาก ไม่เรียงลำดับความสำคัญการกระจายที่ดิน เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจฐานราก
ด้าน นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ว่า มีการตั้งเป้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาอยู่เมืองไทยระยะยาว 1 ล้านคน จะสร้างรายได้ให้ประเทศไทย 1 ล้านล้านบาท แต่มาตรการให้คนต่างชาติครอบครองที่ดินไทย เป็นมาตรการเสริมให้คนที่รักและอยากมาอยู่จริงๆ เท่านั้น เพราะเขาสามารถเช่าระยะยาว เช่าคอนโดมิเนียม หรืออยู่โรงแรม ไม่จำกัดอยู่เฉพาะการซื้อที่ดิน การแก้ไขกฎกระทรวงไม่ได้เพิ่มอะไรมาก การให้ลงทุนมา 3 ปีหรือ 5 ปี แลกกับการซื้อที่ดินในไทยนั้น ไม่แตกต่างอะไรกันมาก การซื้อที่ดินต้องใช้เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น หากใครทำผิดเงื่อนไข ก็ถูกยกเลิกสิทธิได้ตลอดเวลา
“เราตึงมากเรื่องการให้ต่างชาติครอบครองที่ดิน ถ้าจะมาซื้อที่ดินทำเป็นคอนโดให้เช่า ไม่สามารถทำได้ ส่วนที่กังวลจะใช้การซื้อที่ดินเป็นช่องทางฟอกเงินนั้น มีการคัดคุณสมบัติคนซื้อ ต้องทำอาชีพสุจริต ไม่ขัดกฎหมาย การบอกว่าเป็นวิธีโบราณ ขอให้กลับไปศึกษาว่า ทุกวันนี้นักลงทุนมองประเทศไทยน่าอยู่ เป็นฐานลงทุนใหม่ อย่ามองประเทศเชิงลบ ไม่น่าเชื่อยังมีคนยกข้อครหาแบบนี้มาพูด ให้ไปดูอีกหลายประเทศมีมาตรการบริหารจัดการผ่อนปรนที่ดินมากกว่าประเทศไทย”