xs
xsm
sm
md
lg

เชือดไก่ให้ลิงดู!? “บ้านใหญ่” มีสะดุ้ง หลัง “เอ๋-ชนม์สวัสดิ์” โดน ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริตเงินทอนวัด - พ.ร.บ.สุราฯ คว่ำคาสภา “ก้าวไกล” ย้อนทบทวนตัวเองก่อน อย่ารีบฟาดงวงฟาดงา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


**เชือดไก่ให้ลิงดู!? “บ้านใหญ่” มีสะดุ้ง หลัง “เอ๋-ชนม์สวัสดิ์” โดน ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริตเงินทอนวัด ช่วงเคาท์ดาวน์ ก่อนเลือกตั้ง แตะเบรก “ก๊วน-มุ้ง” คิดผละจาก “ลุงๆ”


ฮือฮาไม่น้อย เมื่อจู่ๆ ก็มีข่าวออกมาจาก สำนักงานป.ป.ช.ว่า ที่ประชุมใหญ่กรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิด “เสี่ยเอ๋” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ขาใหญ่แห่ง “เมืองปากน้ำ” ที่ปัจจุบันไร้ตำแหน่งทางการเมือง เป็นเพียงประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ

เป็นการชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 กรณีใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ อันทำให้เสียหายแก่รัฐ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต กรณีถูกกล่าวหาว่า มีการใช้จ่ายเงินอุดหนุนวัดใน จ.สมุทรปราการ โดยมิชอบกว่า 20 โครงการ ในการบูรณะบำรุงวัด และเตาเผาศพ วงเงินงบประมาณกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 100 ล้านบาท

อันเป็นหนึ่งในมหากาพย์ “คดีเงินทอนวัด” ตั้งแต่เมื่อครั้ง “ชนม์สวัสดิ์” เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ เมื่อราว 10 ปีก่อน (ปี 2554-2556)

หลังมีรายงานข่าวออกมา “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการ ป.ป.ช. ก็ได้คอนเฟิร์มว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ได้พิจารณาและมีมติตามที่มีข่าวไปแล้วจริง ขั้นตอนจากนี้คือ ต้องรอให้กรรมการ ป.ป.ช. ลงนามรับรองรายงานในสำนวนก่อนที่จะส่งไปยังอัยการสูงสุด พิจารณาสั่งฟ้องต่อศาล

ถึงตอนนี้ยังต้องถือว่า “ชนม์สวัสดิ์” เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน และเชื่อว่าเมื่อเรื่องถึงศาลแล้ว คงต้องสู้คดีกันอีกหลายยก

ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ร่วมโต๊ะกับ อนุทิน ชาญวีรกูล
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าของคดีที่ออกมาจาก ป.ป.ช. ครั้งนี้ ไม่พ้นถูกมองในมิติ “การเมือง”

แง่หนึ่งก็มองว่า คดีล่าช้ามาพอสมควร ด้วยเหตุที่ “ก๊วนปากน้ำ” ที่นำโดย “ชนม์สวัสดิ์” นั้นคว้า“โปรย้ายค่าย” มาอยู่กับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 และยังสร้างผลงานโบว์แดง ได้ส.ส.เกือบยกจังหวัด

อีกแง่หนึ่งก็มองเป็น “จังหวะนรก” ในช่วงที่กำลังมีการเคาท์ดาวน์นับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ และเขย่ายุทธจักรการเมืองในระดับหลายริคเตอร์เลยทีเดียว

โดยวันนี้ “ส.ส.ก๊วนปากน้ำ” ใต้ร่ม “บ้านใหญ่อัศวเหม” มีส.ส.ถึง 6 ชีวิตในสังกัด พลังประชารัฐ ประกอบด้วย ส.ส.เขต 5 คน... อัครวัฒน์ อัศวเหม-กรุงศรีวิไล สุทินเผือก-ยงยุทธ สุวรรณบุตร-ฐาปกรณ์ กุลเจริญ-ภริม พูลเจริญ และบัญชีรายชื่อ 1 คน คือต่อศักดิ์ อัศวเหม

เว้นเพียง ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ อีกรายที่เป็นเอกเทศ ต่อตรงถึง “สายลุงตู่” ไม่อยู่ใต้อาณัติ “ซุ้มเสี่ยเอ๋”

ต้องไม่ลืมว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งล่าสุด เดือนก.ค.65 ที่ผ่านมา ส.ส.ซุ้มปากน้ำ ทั้ง 6 เสียง “แผลงฤทธิ์” ด้วยการ“โหวตสวน” มติพรรค ลงมติไม่ไว้วางใจ“เสี่ยป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ“เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงงาน

โดยว่ากันว่า สาเหตุที่โหวตคว่ำ “จับกังเฮ้ง” มาจากความขัดแย้งในพื้นที่ ที่ “มังกรน้ำเค็ม” แผ่อิทธิพลล้ำเส้นมาที่เมืองปากน้ำ

ส่วนที่ “ห้าวเป้ง” โหวตสอย “บิ๊กป๊อก” พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์นั้น ก็เพราะ“มีงาน” จาก“สาย ป.ที่ 4” ที่หมายเขย่าเก้าอี้ “มท.1” มาตลอด โดยอ้างว่าไม่เคยได้รับการตอบสนองใดๆ จากกระทรวงมหาดไทย

หากจำกันได้ หลังสร้างวีรกรรมแสบครั้งนั้น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เดินทางไปลงพื้นที่ พร้อมตกปากรับคำจะปูนบำเหน็จเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ “ก๊วนปากน้ำ”

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า การเล่นบท “เด็กดื้อ” ก็ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฉุนไม่น้อย เพราะการโหวตคว่ำ “บิ๊กป๊อก-เสี่ยเฮ้ง” ที่ถือเป็น “สายตรงนายกฯ” ก็ไม่ต่างจากการตบหน้า“นายกฯตู่” นั่นเอง

พลันที่ “ชนัก” คดีเงินทอนวัดถูกงัดมาหวด “เสี่ยเอ๋” รอบนี้ก็เลยถูกตั้งคำถามว่า เป็นรายการสั่งสอนย้อนหลังจาก “ลุงตู่-ลุงป๊อก” หรือเปล่า!!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ประจวบเหมาะกับล่าสุดที่ “ป๋าหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์รูปร่วมโต๊ะดินเนอร์กับ “ป๋าเอ๋” พร้อมด้วย “น้องเพลง” ชนม์ทิดา อัศวเหม ลูกสาว ชนม์สวัสดิ์ ที่คบหาดูใจกับ “เสี่ยเป็ก” เศรณี ชาญวีรกูล ลูกชาย อนุทิน

ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า “น้องเพลง-เสี่ยเป็ก” มีแพลนจะแต่งงาน และ“บ้านชาญวีรกูล-อัศวเหม” กำลังจะดองกัน

ทว่าในมุมการเมือง ก็มีการพูดกันว่า “เสี่ยเอ๋-ชนม์สวัสดิ์” จะย้ายสัมมะโนครัวไปอยู่กับ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย

การถูกชี้มูลคดีเงินทอนวัดในชั้น ป.ป.ช. ก็เลยถูกตีความว่าเป็นการกระตุกขา “ซุ้มปากน้ำ” ด้วย

เหตุที่เกิดกับ “ชนม์สวัสดิ์” ก็ทำเอาบรรดา“บ้านใหญ่” ที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังคิดจะตีจากไปอยู่พับพรรคอื่น ก็มีสะดุ้งเหมือนกัน

เพราะหลายก๊วน-หลายมุ้ง ที่มาร่วมชายคาพรรคพลังประชารัฐ เมื่อเลือกตั้ง 2562 ก็มาภายใต้เงื่อนไข “โปรย้ายค่าย” ไม่ต่างจาก “บิ๊กบอสปากน้ำ” เช่นกัน

ทำเอาบรรดา “บ้านใหญ่” ทั้งหลายที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ต้องชั่ง-ตวง-วัด ให้ดีว่า หากคิดผละจาก “ลุงๆ” ไปเแล้ว จะมี “ชนัก” อะไรตวัดกลับมาเหมือนที่ “เสี่ยเอ๋” โดนหรือเปล่า.

**พ.ร.บ.สุราฯ คว่ำคาสภา “ก้าวไกล” ย้อนทบทวนตัวเองก่อน อย่ารีบฟาดงวงฟาดงานายทุนขุนศึกศักดินา

ถูกตีตกไปเรียบร้อย ด้วยคะแนนเฉียดฉิว ในที่ประชุมสภาผู้แทนฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ….. ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า” เพราะเนื้อหาหลัก คือ การแก้ไขหลักเกณฑ์การอนุญาตผลิตสุรา โดยต้องไม่มีการกําหนดคุณสมบัติของผู้ขอ เกี่ยวกับขนาดกําลังการผลิต กําลังแรงม้าเครื่องจักร ทุนจดทะเบียน จํานวนพนักงาน หรือหลักเกณฑ์อื่นใด ในลักษณะที่เป็นการกีดกันทางการค้า หรือก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
นัยว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประอบการรายเล็ก รายน้อย หรือชุมชนสามารถเข้าสู่ธุรกิจสุรา-เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้น

ร่างกฎหมายฉบับนี้ พรรคก้าวไกลหมายมั่นปั้นมือให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง จะด้วยเหตุเพราะต้องการเปิดโอกาสให้คนตัวเล็กตัวน้อยจริงๆ หรือเป็นเพราะความหลังฝังใจ ของ ส.ส.คนดังของพรรค อย่าง “เท่าพิภพ ลิ้มจิตกร” ที่เคยถูกดำเนินคดีฐานผลิตและจำหน่ายคราฟต์เบียร์ โดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อปี 2560 หรือไม่ สาธุชนพึงพิจารณากันเอาเอง

ย้อนไปเมื่อครั้งที่ ร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่านสภาวาระแรก ในการประชุมสภา วันที่ 8 มิ.ย.65 ทั้ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ “เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร” ในฐานะผู้เสนอร่าง เปิดแถลงข่าวขอบคุณเพื่อนส.ส. ที่โหวตรับร่าง พร้อมวาดฝันสวยหรูอู้ฟู่ ว่า หลังจาก พ.ร.บ.นี้ผ่านออกมาใช้บังคับ จะส่งผลดี 7 ข้อ

ซึ่งแต่ละข้อก็ดูเหมือนความฝันที่ยังไม่มีจุดเชื่อมโยงกับความจริงที่ชัดเจน เช่น ของถูกจะกลายเป็นของแพง ด้วยการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น , มีธุรกิจใหม่เกิดขึ้น และจะมีเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจชุมชนไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท, ลดการนำเข้าเหล้าเบียร์จากต่างประเทศ และยังสามารถส่งออกได้ด้วย ทำให้เกิดดุลการค้ากลับมา 3 พันล้านบาทต่อปี, เกิดอุตสาหกรรมต่างๆ เกี่ยวข้องกับการสุรา เช่น การนำกาก ไปทำอาหารสัตว์ หรือทำก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในครัวเรือน เป็นต้น

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มีข้อกังวลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่อ ร่าง พ.ร.บ.นี้ โดยเฉพาะการยกเลิกกฎเกณฑ์บางข้อ อาจทำให้มีการผลิตสุรา หรือกลั่นเหล้าโดยขาดการควบคุมคุณภาพ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ดื่ม หรือส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม

ก่อนที่ “ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า” จะเข้าสภา วาระ 2 จึงมีกระแสข่าว การคว่ำร่าง ดังมาจากในทำเนียบรัฐบาล และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อที่ประชุมครม.วันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติ ร่าง กฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา ของกระทรวงการคลัง ผ่อนปรนเงื่อนไขการขออนุญาตผลิตสุรา เช่น การยกเลิกข้อกำหนดเรื่องทุนจดทะเบียน และกำลังการผลิตสำหรับผู้ขออนุญาตผลิตเบียร์ และออกหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตผลิตสุรา ที่ไม่ใช่เพื่อการค้าได้ ซึ่งกฎกระทรวงเดิมไม่มี

และทันที ครม.อนุมัติ กฎกระทรวงนี้ก็ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันเดียวกัน โดยมีผลใช้บังคับในวันถัดมา คือ 2 พ.ย.65 หรือเมื่อวานนี้

เรียกว่าเป็นการปาดหน้ากันเห็นๆ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงกับต้องเปิดแถลงข่าว สับแหลกว่านี่เป็นเกมการเมืองที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการ “คว่ำ” พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ของพรรคก้าวไกล อย่างแน่นอน พร้อมย้ำว่า กฎกระทรวงที่ออกมายังไม่ตอบโจทย์ ถ้ายังไม่ผ่าน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าออกมา

เท่าพิภพ ลิ้มจิตกร
เมื่อเข้าสู่การอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า วาระ 2 มีสมาชิกอภิปรายไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่เป็นการแสดงความห่วงใย เรื่องการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งผลเสียที่ตามมาหากประชาชนดื่มสุรามากขึ้น และถ้าจะใช้กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ.2565 ที่เพิ่งออกมา ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะไม่ได้ควบคุมชาวบ้านไม่ให้ผลิตสุราเลย

ส่วนพรรคก้าวไกล ก็ตอบโต้ด้วยวาทกรรมเดิมๆ ถ้าเพื่อนส.ส.ไม่ยกมือให้ ร่าง พ.ร.บ.สราก้าวหน้าผ่าน แสดงว่ายืนข้างทุนผูกขาด ไม่ได้ยืนข้างประชาชน

เรียกว่า เป็นบรรยากาศการอภิปรายร่างกฎหมายที่ดุเดือดไม่น้อย แม้ทั้งฉบับจะมีแค่ 7 มาตรา โดยกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไข 3 มาตรา เพิ่มขึ้นใหม่ 2 มาตรา แต่ก็ใช้เวลาอภิปราย และลงมติรายมาตรานานกว่า 3 ชั่วโมง

หลังจากนั้น ก็เป็นการลงมติวาระ 3 เพื่อตัดสินว่าจะให้ ร่าง พ.ร.บ.นี้ ผ่านออกไปใช้บังคับเป็นกฎหมาย หรือไม่ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ ไม่เห็นด้วย 177 เสียง เห็นด้วย 174 เสียง และงดออกเสียง 11 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง เป็นอันว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ต้องตกไป

ลงคะแนนจบ แต่ส.ส.ก้าวไกลไม่ยอมจบ เสนอญัตติขอให้ลงมติใหม่ด้วยการขานชื่อ ตามข้อบังคับการประชุม ที่ระบุว่า หากคะแนนเสียงต่างกันไม่เกิน 25 เสียง สามารถเสนอนับใหม่ได้ “สุชาติ ตันเจริญ” ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุม จึงสั่งให้ลงคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ

ผลปรากฏว่า ไม่ต่างจากเดิม เสียงเห็นด้วย 194 เสียง ไม่เห็นด้วย 196 เสียง งดออกเสียง 15 ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ของพรรคก้าวไกล ต้องตกไปโดยไปสมบูรณ์

ประเด็นนี้มีข้อสังเกต ฝากไปยังพรรคก้าวไกลสักเล็กน้อย ก็เข้าใจว่าคงคับแค้นใจที่ร่างหมายชิ้นโบแดงของพรรคต้องโดนตีตกไป แต่ก็ควรจะเก็บอาการไว้หน่อยก็ดี

หลังจากที่ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าแพ้โหวต วาระ 3 ครั้งแรก ด้วยคะแนน 174 ต่อ 177 เสียง เพจเฟซบุ๊ก "พรรคก้าวไกล - Move Forward Party" ได้โพสต์ข้อความทันทีว่า... “ด่วน! พ.ร.บ. #สุราก้าวหน้า ไม่ผ่านสภาในวาระ 3 ด้วยผลต่างคะแนนเสียงเพียง 4 คะแนน 173 ต่อ 177 นี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า ภายใต้รัฐบาลสืบทอดอำนาจ ผลประโยชน์ของนายทุน ขุนศึก ศักดินา สำคัญกว่าผลประโยชน์ของประชาชน”

หลายคนได้อ่านแล้ว ก็เห็นว่านี่คืออาการของคนสติหลุด ตีโพยตีพาย ฟาดงวงฟาดงาแบบเพ้อเจ้อ ไปถึงนายทุน ขุนศึก ศักดินา ทั้งที่อาจจะมีเหตุผลอื่นๆ ที่กฎหมายโดนตีตก

ถ้ายังมุ่งมั่นที่จะเปิดโอกาสให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้เข้าสู่ธุรกิจสุรา-เบียร์จริงๆ ก็ลองเสนอร่างกฎหมายเข้ามาใหม่ ที่มีเนื้อหารัดกุมกว่าเดิม มีหลักการเหตุผลรายละเอียดที่จะโน้มน้าวให้ ส.ส.ส่วนใหญ่ในสภาเห็นด้วย จะดีกว่าไหม

ไม่ใช่พอไม่ได้อย่างใจ ก็กรีดร้อง กระทืบเท้า กระจองอแง เหมือนเด็กโดนขัดใจ ไม่งามเลยนะวิ !


กำลังโหลดความคิดเห็น