รองนายกฯ เผย ร่าง กม.ต่างชาติซื้อที่ดิน ยังแก้ได้ ยันรับฟังทุกข้อเสนอ คัดค้านหนักรัฐพร้อมพิจารณา แต่ชี้มีเสียงทั้ง 2 ด้าน รับเรื่องนี้มีปัญหามาตลอด ลามต่อถึงถูกกล่าวหาขายชาติ
วันนี้ (31 ต.ค.) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. … ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท เข้ามาซื้อที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า แม้ ครม.จะมีมติอนุมัติในหลักการไปแล้ว แต่ยังสามารถมีการทบทวนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้ จากนี้ ครม.จะต้องส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา และเมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วต้องส่งกลับมาที่ ครม.อีกครั้ง ส่วนที่มีการเสนอความคิดเห็นต่างๆ เข้ามา ก็สามารถเสนอเข้ามาได้
นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึงเรื่องการให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทย จะเป็นปัญหามาตลอด ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ปี 2531 ต่อมาปี 2545 ก็ได้มีการร่างกฎกระทรวงออกมาในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำหนดให้คนต่างชาติที่มีเงินลงทุน 40 ล้านบาทขึ้นไป สามารถเข้ามาซื้อที่ดินได้คนละไม่เกิน 1 ไร่ เพื่อการอยู่อาศัย รวมถึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2545 มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลานานพอสมควร หลักเกณฑ์เดิมที่เคยมีในตอนนั้นบางเรื่องถือว่าตึงเกินไป แต่บางเรื่องก็หละหลวมเกินไป เราจึงอยากจำกัดหลักเกณฑ์ผู้ที่มาซื้อที่ดินในประเทศ ว่าไม่ใช่ให้ใครก็ได้เพียงแค่มีเงิน 40 ล้านบาท จึงได้กำหนดกลุ่มคนต่างชาติ 4 ประเภท เพื่อกำหนดคนผู้ได้รับสิทธิให้วงแคบลง
นายวิษณุ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน มีการเพิ่มเงื่อนไข หรือปรับบางอย่างก็ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นกันในขณะนี้ บางคนก็เสนอให้มีการเติมเงื่อนไข ซึ่งรัฐบาลยินดีรับไว้พิจารณา อาทิ ข้อเสนอที่ห้ามมีการนำไปขายต่อ ห้ามมิให้ผู้ซื้อที่ดินนำที่ดินมาต่อรวมกัน
เมื่อถามว่า มีบางฝ่ายเสนอให้ปรับหลักเกณฑ์ จาก 40 ล้านบาท ให้เป็น 100 ล้านบาท นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาอีกครั้ง รัฐบาลหวังเพียงอยากให้มีคนที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุน และคิดว่าข้อกำหนดเรื่องจำนวนเงิน 40 ล้านบาท ก็คิดว่าน่าจะมากพอหากเป็นเรื่องของการก่อสร้าง แต่ถ้าจะไปนับรวมที่ดินกับสิ่งปลูกสร้าง ก็อาจจะมีการกำหนดโดยแยกรายละเอียดอีกครั้ง ว่าแต่ละส่วนนั้นต้องมีมูลค่าเท่าไหร่อย่างไร
เมื่อถามว่า หลักเกณฑ์ที่กำหนดว่าจะต้องเป็นผู้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 3 ปี ที่ลดลงมาจาก 5 ปีแล้วนั้น คิดว่าจะต้องกลับไปเป็นตามหลักเกณฑ์เดิมได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า กำลังดูแนวโน้มจากกรณีของต่างประเทศว่าเขามีการลดหย่อนกันอย่างไร
เมื่อถามว่า มีนักธุรกิจบางรายเสนอให้ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแทนเงินบาท นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เมื่อถามว่า บางฝ่ายแสดงความกังวลเรื่องใช้นอมินี หรือบางคนปลอมแปลงคุณสมบัติตัวเองเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ เพื่อมีสิทธิซื้อที่ดินในประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ของกฎกระทรวงดังกล่าว นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนอมินี มีมาตั้งแต่ปี 2470 จึงทำให้เกิดปัญหา อาทิ กรณีหญิงไทยมีสามีเป็นชาวต่างชาติ แล้วสามีให้ภรรยาชาวไทยเป็นผู้ซื้อที่ดินแทนด้วยเงินของสามี อย่างนี้ก็เรียกว่านอมินีชนิดหนึ่ง
เมื่อถามว่า กฎกระทรวงฉบับปี 2545 มีชาวต่างชาติที่เข้าหลักเกณฑ์มาซื้อที่ดินในไทย เพียง 8 ราย นายวิษณุ กล่าวว่า อันที่จริงมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อมากกว่านั้น แต่ที่พบเป็นชิ้นเป็นอันรวมแล้ว 100 กว่าตารางวา ส่วนกรณีที่มีการพูดกันว่ามี 8 ราย เป็นกรณีที่มีผู้ซื้อรายละ 1 ไร่ แต่ผู้ที่มาซื้อที่พักอาศัยอยู่ในบ้านจัดสรรพื้นที่เป็น 100 ตารางวานั้น มีจำนวนมากมายเหลือเกิน และที่สำคัญเรื่องของคอนโดมิเนียมก็มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อตั้งนานแล้ว
เมื่อถามว่า เกณฑ์ปัจจุบันที่อยู่ในร่างกฎกระทรวงมหาดไทย จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนอมินีได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เขายังต้องมีการพิจารณาอีกมาก เพราะร่างดังกล่าวเป็นเพียงร่างแรก ทุกครั้งที่เราพูดถึงกันเรื่องขายที่ดินให้ชาวต่างชาติ ก็มักจะมีการพูดถึงเรื่องขายชาติ และจะมีอีกฝ่ายออกมาตอบโต้ว่าไม่ใช่การขายชาติ เพราะคนต่างชาติเหล่านั้นก็ไม่สามารถนำที่ดินหนีบรักแร้กลับไปประเทศของเขาได้ จึงมีการเถียงกันอย่างนี้มาตลอด ตนอยู่มาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ที่เสนอเรื่องนี้ แต่ในตอนนั้นทำไม่สำเร็จจึงได้เลิกไป จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลนายทักษิณก็ทำได้สำเร็จ และบังคับใช้เรื่อยมา การปรับเกณฑ์ก็เพราะอยากให้เพิ่มจำนวนคนซื้อมากขึ้น
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลเปลี่ยนใจให้พักเรื่องนี้ไปก่อน จะส่งผลอย่างไรหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีกระแสต่อต้านมาก นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้ามีกระแสต้านเข้ามามาก รัฐบาลก็จะนำมาพิจารณา แต่อย่างไรก็ตาม มีทั้งเสียงเรียกร้องและเสียงคัดค้านเรื่องดังกล่าว