xs
xsm
sm
md
lg

“เพจดัง” โชว์หลักฐาน “พท.” ตบหน้า “ทักษิณ” ฉาดใหญ่ “อดีตผู้พิพากษา” ซัด ถ้าลุงตู่ ขายชาติ คนก่อนยิ่งกว่าอีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ผู้กุมบังเหียน “เพื่อไทย” แทน “ทักษิณ” จากแฟ้ม
ถามนายใหญ่ก่อนมั้ย! “เพจดัง” โชว์แถลงการณ์ “พท.” ตบหน้า “แม้ว” ฉาดใหญ่ เพราะสิ่งที่คัดค้าน คือ สิ่งที่ “ทักษิณ” ทำ “อดีตผู้พิพากษา” กาง กม. ถ้า “ลุงตู่” ขายชาติ คนก่อนหน้ายิ่งกว่าอีก “กูรู” ดักคอ แก้ ม.112 เพื่อ 3 นิ้ว


ภาพ “เพจดัง” โชว์หลักฐานแถลงการณ์เพื่อไทย ค้านสิ่งที่ “ทักษิณ” ตั้งเงื่อนไข ปี 2545 ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก The METTAD
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 ต.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ เปรียบเทียบแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย กับเงื่อนไขยุค “ทักษิณ” พร้อมข้อความระบุว่า

“ทำไมพรรคเพื่อไทย ไม่อ่านกฎหมายก่อนแถลงข่าว”

ภาพ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
ขณะเดียวกัน นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า

“…..กรณีที่รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงที่อนุญาตให้คนต่างด้าวซื้อที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ได้ และมีคนบางกลุ่มออกมาด่ารัฐบาลว่าเป็นการขายชาตินั้น

…..เรื่องนี้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา ๘๖ ว่า คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินก็โดย อาศัยบทสนธิสัญญาซึ่งบัญญัติให้มีกรรมสิทธิ์ใน อสังหาริมทรัพย์ได้และอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายน้ีด้วย

…..ตามบทบัญญัติดังกล่าวการให้คนต่างด้าวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้เป็นตามสนธิสัญญา คือพลเมืองของประเทศที่มีสนธิสัญญาต่อกันให้พลเมืองถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศที่มีสนธิสัญญาต่อกันได้ …..ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินเรื่องให้คนต่างด้วยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยมีการบัญญัติเพิ่มไว้ในมาตรา ๙๖ ทวิ โดย…..มาตรา ๙๖ ทวิ บัญญัติว่า บทบัญญัติว่าด้วยคนต่างด้าว จะได้มาซึ่งที่ดินโดยอาศัยบทสนธิสัญญาตามมาตรา ๘๖ วรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับกับคนต่างด้าวซึ่งได้นําเงินมาลงทุนตามจํานวนที่กําหนดในกฎกระทรวงซึ่งต้องไม่ตํ่ากว่าสี่สิบล้านบาท โดยให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ไม่เกินหนึ่งไร่และต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี

…..การได้มาซึ่งที่ดินของคนต่างด้าวตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง โดยในกฎกระทรวงอย่างน้อย ต้องมีสาระสําคัญ ดังต่อไปนี้

…..(๑) ประเภทของธุรกิจท่ีคนต่างด้าวลงทุนซึ่ง ต้องเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ หรือเป็นกิจการท่ีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประกาศให้เป็นกิจการที่สามารถขอรับการส่งเสริมการ ลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนได้…..(๒) ระยะเวลาการดํารงการลงทุนต้องไม่น้อยกว่าสามปี…..(๓) บริเวณที่ดินที่อนุญาตให้คนต่างด้าวได้มา ต้องอยู่ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กําหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง

…..ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลที่มีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎกระทรวง เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การได้มาของคนต่างด้าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๖ ทวิ และยังคงใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันซึ่งคนต่างด้าวก็สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้อยู่แล้ว …..ตามกฎหมายมาตรา ๙๖ ทวิ และกฎกระทรวงที่ออกในปี ๒๕๔๕ มีหลักเกณฑ์สำคัญคือคนต่างด้าวต้องนำเงินมาลงทุนไม่น้อยกว่า ๔๐ ล้านบาท ก็อนุญาตให้ซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน ๑ ไร่ และมีเงื่อนไขอื่นๆ อีก

…..สรุปว่า การให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้มีมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ ต่อมามีการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินในปี ๒๕๔๒ และได้ออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่างๆ ในปี ๒๕๔๕ ปัจจุบันคนต่างด้าวจึงถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่เกิน ๑ ไร่ ได้อยู่แล้วโดยรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย

…..รัฐบาลปัจจุบันเพียงต้องการแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงปี ๒๕๔๕ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการที่จะให้คนต่างด้าวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อประเทศชาติจะได้ประโยชน์ให้มากที่สุดเท่านั้น แต่ก็ต้องให้เป็นไปตามที่มาตรา ๙๖ ทวิ กำหนดไว้จะผิดไปจากนี้ไม่ได้ และยังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขยังไม่ได้ประกาศใช้เลย

…..ถ้ารัฐบาลปัจจุบันเพียงแต่ต้องการจะแก้ไขกฎกระทรวงที่มีอยู่แล้วและต้องเป็นไปตามที่มาตรา ๙๖ ทวิ กำหนดไว้ ถูกประนามว่าเป็นการขายชาติ ..

…..รัฐบาลที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินในปี ๒๔๙๗ รัฐบาลที่แก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินโดยการเพิ่มมาตรา ๙๖ ทวิ ในปี ๒๕๔๒ และรัฐบาลที่ออกกฎกระทรวงในปี ๒๕๔๕ ไม่ต้องถูกประณามว่าเป็นการขายชาติยิ่งกว่ารัฐบาลปัจจุบันหรือ ?

…..กลุ่มคนที่ออกมาด่ารัฐบาลว่า การให้คนต่างด้าวซื้อที่ดินเป็นการขายชาติ ควรต้องศึกษาหาความรู้บ้างว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร ถ้าไม่รู้อยู่เฉยๆ ก็ได้ จะได้ไม่มีใครรู้ว่าพูดโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ภาพ นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ประเด็นแก้ไข ม.112
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า

พรรคก้าวไกล อ้างว่า ต้องแก้ ม.112 เพื่อคุ้มครองประมุข และ คุ้มครองประชาชน (ตามภาพ)

การคุ้มครอง “ประมุข“ ของทุกประเทศ ถือว่าเป็นงานด้านความมั่นคง ดังนั้น ทุกประเทศจึงต้องมีกฎหมายลักษณะนี้ นอกจากนี้ เกือบทุกประเทศยังมีกฎหมายพิเศษทางด้านความมั่นคงโดยเฉพาะ หรือมีการใช้ พ.ร.บ.ด้านการข่าวกรอง เข้ามาคุ้มครองประมุขประเทศเพิ่มขึ้นมาอีก จากกรณีนี้เอง ในประเทศอื่นๆ เมื่อเกิดเหตุต่อประมุขประเทศ

เขาจึงมักจะใช้กฎหมายอื่นแทนหรือควบคู่กันไป ซึ่งสามารถบังคับใช้ได้เร็ว และมีโทษสูงกว่ากฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ ยังเป็นต้นแบบท่ีออกเป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองประมุขของทุกประเทศ รวมทั้งผู้แทนประมุขอื่นๆ ที่มาอยู่ในประเทศไทยด้วย เช่น คณะทูต เจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ รวมถึง จนท.รัฐ บางประเภท ก็ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษด้วย แม้กระทั่ง ส.ส. และ ส.ว. ก็ยังได้รับการคุ้มครอง เป็นกรณีพิเศษด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากจะแก้ไขจะต้องทำทั้งระบบ

ม.112 เป็นกฎหมายในหมวดความมั่นคง ไม่ใช่กฎหมายจราจร ไม่ใช่เทศบัญญัติ ฯลฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน ซึ่งถ้าไม่ “เจตนา“ เข้าไปยุ่งกับ ม.112 ก็จะไม่มีใครเดือดร้อนเลย

คนไทย 67 ล้านคน ไม่มีใครเดือดร้อน แต่พวกคุณไม่กี่สิบคน ก็ยังตะบี้ตะบันจะยกเลิกให้ได้ ไหนบอกว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย

แต่พอเห็นว่า “ไม่มีใครเอาด้วย” ก็เปลี่ยนมาเป็นขอแก้แทน หรือที่จะแก้ เพราะต้องการช่วยนักโทษ ม.112 ที่พวกคุณไปประกันตัวออกมา ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยกเลิกอยู่ดี

พอดูรูปใครๆ ก็รู้ว่าจะทำอะไรจริงๆ

สุดท้าย เลิกใช้เด็กเป็นเครื่องมือเถอะครับ เรื่องดีๆ ที่เคยพูดไว้ ที่จะนำมาใช้หาเสียงก็มีอีกตั้งหลายเรื่อง แต่ต้องพูดให้เต็มๆเรื่องหน่อย อย่าตัดมาพูดเป็นช่วงๆ แบบในปัจจุบันนี้อีกก็แล้วกัน 

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การต่อสู้ทางการเมือง ไม่ว่า ฝ่ายค้านกับรัฐบาล หรือ ฝ่ายที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตย โดยพุ่งเป้าไปที่ ต้องการแก้ไข ม.112 (ว่าด้วยการหมิ่นสถาบันฯ) และปฏิรูปสถาบันฯ

ยิ่งนานวัน การแสดงตัวตนผ่านสื่อมากขึ้น ยิ่งทำให้ “กูรู” ผู้รู้ทั้งหลายจับได้ไล่ทัน ว่า “กลวง” และ “ลวง” มากกว่าที่จะเชื่อมั่นได้ว่า เป็น “ของจริง” ทำเพื่อประชาชนส่วนรวมอย่างจริงใจ

ไม่ว่าจะเป็น “ศาสดา” หรือ “สาวก” ส่วนใหญ่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ใช้ตรรกะ วาทกรรมผิดเพี้ยน บิดเบือนปลุกระดม แทนที่จะใช้ความจริง ความเป็นเหตุเป็นผล ข้อมูลความรู้ ในการสร้างความเข้าใจกับประชาชน

กลายเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น ระหว่างคนที่พวกเขาโจมตี และสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ ว่าอะไร คือความก้าวหน้าและประชาธิปไตยมากกว่า หรือว่า เริ่มนับถอยหลัง การต่อสู้ที่จะจบลงแค่รุ่นนี้แล้ว?


กำลังโหลดความคิดเห็น