“อัษฎางค์” ฟันเปรี้ยง “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” คือ เยาวชนชุดแรกๆ ที่โดนหลอกและล้างสมองมาก่อน เป็น “ตัวละคร” หนึ่งในขบวนล้มเจ้า ที่ถูกกระทำ อดีตบิ๊ก ศรภ. ชี้ แก้ ม.112 “ก้าวไกล” ไม่หลุดทาสความคิดสงครามเย็น
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ต.ค.) เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ ข้อความระบุว่า
“ผมคิดและได้ผลสรุปมานานแล้วว่า ขบวนการสามกีบล้มเจ้าเพื่อล้มล้างการปกครองนี้ มีขบวนการใต้ดินทำกันมานานและต่อเนื่อง
ที่เราเห็น ธนาธร ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ และคนอื่นๆ ลงมาเล่นการเมืองตามครรลองประชาธิปไตย หรือเห็นนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ร่วมขบวน นั้นก็เคลื่อนไหวทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตย หรือเด็กน้อยเด็กงั่กตามท้องถนนนั้นก็เคลื่อนไหวทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตย
แต่ทั้งหมดนั้นมีจุดเริ่มต้นจากอาจารย์ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง จำนวนหนึ่ง ที่มีแนวคิดต่อต้านการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
โดยกลุ่มคนชั้นนำเหล่านั้น ได้ปลูกฝังความคิดในการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้กับบุคคลต่างๆ มากมาย ซึ่งเราเห็นหน้าได้ยินชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ใช่ว่า ธนาธร ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ ฯลฯ จะเป็นคนหลอกลวงประชาชนและเยาวชน แต่ ธนาธร ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ ฯลฯ คือ เยาวชนชุดแรกๆ ที่โดนหลอกและถูกล้างสมองมาก่อน
ประชาชนและเยาวชนที่ออกหน้าอยู่ในปัจจุบัน เรียกร้องให้ยกเลิก 112 และปฏิรูปสถาบันฯ ปฏิรูปการปกครอง นั้นเป็นหนึ่งในยุทธ์วิธีทางการเมืองที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเอาไว้
ซึ่งล้วนแต่ถูกปลูกฝัง ล้างสมอง มาหลายเจนเนอเรชั่นแล้ว
เวลาผมเห็น ธนาธร ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ ฯลฯ หรืออาจารย์อีกจำนวนมาก ที่ออกมาเคลื่อนไหว หรือสนับสนุน หรือเป็นผู้ปลูกฝัง หรือปลุกระดม หรือยุยง แล้วส่วนหนึ่งโกรธ
แต่ในอีกส่วนหนึ่งลึกๆ เมื่อจิตสงบแล้ว ผมรู้สึกสงสารพวกเขา เพราะพวกเขาคือหนึ่งในผู้ที่ถูกกระทำ ถูกปลูกฝัง ถูกล้างสมองมาก่อนและทั้งสิ้น
มันเหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องหนึ่ง ที่เรารู้ว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย ใครหวังดี ใครหวังร้าย ใครกำลังหลอก ใครถูกหลอก คนดีถูกใครใส่ร้ายให้กลายเป็นคนเลว และคนเลวถูกย้อมให้กลายเป็นคนดี
เรานั่งดูหนังอยู่ เราจึงรู้และเห็นหมด ทุกช็อตทุกฉาก แต่เราเข้าไปแก้ไข เปลี่ยนบท ไม่ได้เลย
ไอ้พวกที่เล่นตามบท ถึงจะเป็นตัวโกงที่กำลังทำชั่ว มันก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังสร้างบาปสร้างกรรมทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
…………………………………………………………
เมธี เวชารัตนา
วิศวฯ จุฬาฯ 2515
เรื่องของนายเนติวิทย์ ถ้าเกิดขึ้นใน ม. ในเมกา คงไม่ยาวมาถึงขนาดนี้ คงจบไปนานแล้ว
เพราะ ผู้บริหาร ม. คือ President กับ Board of Trustees คงทำสิ่งต่อไปนี้ ทันที ที่มีเรื่องในลักษณะ ที่ทำลายภาพลักษณ์ และขนบธรรมเนียม ของสถาบัน แบบที่นายเนติวิทย์ กับพวกทำกัน
1. นายเนติวิทย์ กับพวก จะถูกไล่ออกจาก การเป็นนักศึกษา ของ มหาวิทยาลัยทันที
2. สโมสรนักศึกษาของจุฬาฯ จะถูกปิดทันที
อย่าลืมว่า ม. มีหน้าที่หลัก ในการสอน กิจกรรมนอกหลักสูตร (Extra Curricular) เป็นเรื่องเสริม นอกระบบการศึกษา ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับหลักสูตร และ mandate ของ มหาวิทยาลัยเลย
ทำไมเรื่องของนายเนติวิทย์ กับพวก ถึงเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น ที่จุฬาฯ และ กับระบบ อุดมศึกษา ของไทย
สาเหตุเพราะ ผู้ใหญ่ ผู้บริหาร ของหลายหน่วยงาน และองค์กร ของเรา ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง (หรือจงใจลอยตัว)
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นคือ
1. ผู้บริหาร มหาวิทยาลัย อธิการบดี กับ สภามหาวิทยาลัย ต้อง take serious measure ในกรณีที่เหตุการณ์ ทำลายภาพลักษณ์ ของ มหาวิทยาลัย เกิดขึ้นทันที ถ้าไม่ทำอะไร สิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็นตัวชี้ ถึงการขาดคุณสมบัติ และการละเลยหน้าที่ ของทีมผู้บริหาร
2. ในกรณีนี้ จุฬาฯ เป็น มหาวิทยาลัย ของรัฐ ท่าน รมต อว กับ ปลัด อว ก็มีอำนาจ ที่จะจัดการกับผู้บริหาร กับ สภามหาวิทยาลัย สามารถสั่งปลด ผู้บริหาร และ สภา ทั้งชุด และแต่งตั้ง ผู้บริหารเข้ามาจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้
นี่คือวิธี การแก้ปัญหาแบบนี้ ของ ระบบอุดมศึกษา ในเมกา นะครับ
ประเทศที่เน้นย้ำเรื่องประชาธิปไตย กับการเลือกตั้ง
3. การได้ผู้บริหาร ม. หรือ กรรมการสโมสรนิสิต จากการเลือกตั้ง ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะมีอำนาจ ทำอะไรก็ได้
4. เรื่องแบบนี้ ในเมกา ศาลปกครอง จะไม่เข้ามาก้าวก่ายเลย เพราะ ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของการบริหาร
สถาบันการศึกษา เป็นขบวน การ และระบบ การสอนนักศึกษา
องค์กรใด หรือ บริษัทใด ที่ไม่สามารถ จัดการ หรือบริหาร หรือแก้ไข ปัญหา การทำลายภาพลักษณ์แบบนี้ มีแต่จะถึงจุดล่มสลาย ล้มละลาย เท่านั้น
…………………………………………………………
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร
อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เป็นต้นมา เราได้เห็นการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ในรูปแบบต่างๆ จากนักวิชาการอิสระ อาจารย์มหาวิทยาลัย องค์การนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ลงไปจนถึงระดับโรงเรียน รวมทั้งสำนักข่าวหลายสำนัก
นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่เชื่อได้ว่า ขบวนการนี้ได้มีการวางแผนและดำเนินการมาเป็นเวลานาน จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการครอบงำความคิดคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ เมื่อคนเหล่านี้ได้ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พวกเขาก็จะไปครอบงำบ่มเพาะความคิดนิสิตนักศึกษา จัดตั้งกลุ่มการเมืองในสถาบันการศึกษาให้ลงเลือกตั้งเป็นนายก เป็นกรรมการองค์การนิสิตนักศึกษา สภานิสิตนักศึกษา เพื่อเคลื่อนไหวตามแนวทางข้างต้น
เมื่ออาจารย์ครอบงำนิสิตนักศึกษา นิสิตนักศึกษาที่รับการครอบงำเมื่อจบไป ไปเรียนต่อ กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิยาลัย กลับมาเป็นครู ก็มาครอบงำนักเรียน นิสิตนักศึกษารุ่นต่อๆ มา คนรุ่นต่อๆ มาก็จะถูกบ่มเพาะให้มีความคิดแบบเดียวกัน
มาถึงวันนี้ ต้องยอมรับว่า ขบวนการดังกล่าวเกิดประสิทธิผลไม่น้อย เราจึงได้เห็นสื่อที่ใช้โอกาสต่างๆ เปิดช่องให้คนที่มีความคิดดังกล่าวเข้ามาแสดงความคิดเห็นลบหลู่ โจมตีสถาบัน เราจึงได้เห็นม็อบที่ล้อเลียน กระทำการจาบจ้วง เย้ยหยัน พระมหากษัตริย์
นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่คณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล ไม่เคยลดละ ล้มเลิก ความพยายามที่จะยกเลิกมาตรา 112
ใครคือผู้ที่บงการจริงๆ และให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง พิสูจน์ได้ไม่ง่าย แต่คนส่วนใหญ่และหน่วยงานรัฐรู้ตัวผู้บงการอย่างดี”
ขณะเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ. โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ หัวข้อ “เมื่อพรรคการเมืองต่างๆ พร้อมใจกัน “เท” พรรคก้าวไกล”
โดยมีเนื้อหาว่า เมื่อปลายศตวรรษที่ 20 สงครามเย็นใน ทวีปเอเชีย ได้ยุติลงอย่างแน่นอนแล้ว ได้ส่งผลทำให้ภูมิทัศน์ทางการเมืองระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลุ่มประเทศตะวันตก ได้ส่งออก
“ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” และ “ ระบบการค้าเสรี” ออกมาควบคุมโลกตะวันออก ตอนนั้นเรียกกันว่า ระเบียบโลกใหม่
“ระเบียบโลกใหม่” นี้ ได้สร้างความอึดอัดใจให้ กับประเทศในเอเชียเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะขัดต่อขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมตะวันออกแล้ว กติกาทางการค้า มาตรการอื่นๆ ก็ถูกทางตะวันตกเป็นผู้กำหนดตามอำเภอใจตัวเอง แต่ก็ยังมีนักวิชาการบางส่วนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกตะวันตกยังชื่นชมมันอยู่
ดังนั้น กระแสการต่อต้าน “ระเบียบโลกใหม่” จึงค่อยๆก่อตัวขึ้นทั่วเอเชีย ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เมื่อภาพยนตร์จีนกำลังภายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร (เดชคัมภีร์เทวดา) มี “ตงฟางปุ๊ป้า” ซึ่งแปลเป็นไทย ว่า “บูรพาไม่แพ้” เป็นตัวละครเอก ออกมาฉาย และถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก คำว่า “บูรพาไม่แพ้” จึงถูกนำมาอ้างอย่างแพร่หลาย โดยใช้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อคัดค้านระเบียบโลกของชาวตะวันตก โดยเริ่มจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย
ปัจจุบันนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ระเบียบโลกใหม่ของชาวตะวันตก ซึ่งกำลังจะกลายเป็นระเบียบโลกเก่า เพราะมันกำลังใกล้มาถึงจุดจบแล้ว การเอารัดเอาเปรียบ จากการออกกติกาต่างๆ ของตะวันตก ในเรื่องการค้า การเงิน การแสวงประโยชน์ และการตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ จะต้องหมดไปในไม่ช้านี้ ระเบียบโลกเฉพาะของตะวันออก ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างช้าๆ จะเข้ามาแทนที่จาการรวมตัวกันของ อินเดีย จีน รัสเซีย ฯลฯ
อนาคตระเบียบโลกของชาวตะวันออก หรือ Asia Order กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ แต่มั่นคง ซึ่งจะสำเร็จได้เร็วแค่ไหน ก็มีประเด็นสำคัญอยู่ที่ยุโรปตะวันตกจะเอาด้วยกับ สหรัฐฯ แบบเดิมอีกต่อไปหรือไม่
แต่เมื่อดูจากการแต่งตั้ง นรม.อังกฤษคนใหม่ ปฏิกิริยาของประชาชนในยุโรปตะวันตก ที่ต่อต้านการเข้าไปสนับสนุนสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีเพิ่มมากขึ้น อิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์ของ สี จิ้นผิง การท้าทายอำนาจของสหรัฐฯจากกลุ่มประเทศโอเปก ฯลฯ ซึ่งเมื่อดูแนวโน้มของเหตุการณ์นี้แล้ว ฝ่ายตะวันออกจึงน่าจะมีโอกาสดีขึ้น
ส่วนในประเทศไทย การประกาศตัวไม่แก้ ม.112 ของพรรคการเมืองหลักเกือบทุกพรรค ที่รวมใจกัน “เท พรรคก้าวไกล” การเยี่ยมท็อบนิวส์ของ ออท.จีน ปรากฏการณ์ ลิซ่า ตูน โตโน่ ทีมวอลเลย์บอลหญิง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งบอกเหตุว่า “คนไทยส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะออกจากกรงขังของวัฒนธรรมตะวันตก” กันแล้ว ยกเว้นแต่บางคนที่ยังตกเป็น “ทาสความคิด” เลยคิดเองไม่เป็น จำอะไรที่เกิดขึ้นในอดีตกับบ้านเมืองเราไม่ได้ ทำตัวเหมือนปลาทองหัววุ้น เพียงว่ายจากกระจกตู้ปลาด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ก็ลืมชั่ว ลืมดีจนหมด
แน่นอน, การเคลื่อนไหวและผลักดันแก้ไข ป.อาญา ม.112 ของคณะก้าวหน้า นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า รวมถึงพรรคก้าวไกล กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนวงกว้างมากขึ้น ไม่ใช่ปลุกปั่นกันแต่เฉพาะในโลกโซเชียล อีกต่อไป
ยิ่งพรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า หนึ่งในชุดนโยบาย “การเมืองก้าวหน้า” ก็คือ การแก้ไข ม.112 ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า พรรคการเมืองพรรคนี้พร้อมท้าทายกับกระแสตอบรับหรือไม่ของประชาชน
ขณะที่ฝ่ายปกป้องสถาบันฯ เชื่อมั่นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ และไม่ต้องการให้แก้กฎหมายซึ่งปกป้องสถาบันฯ อย่าง ม.112 อย่างเด็ดขาด
ทำให้ด้านหนึ่ง ดูเหมือนคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ก็อยากรู้เหมือนกันว่า ผลจะออกมาอย่างไร?
นั่นแสดงว่า ผลการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นเครื่องพิสูจน์ไม่มากก็น้อยว่า การทำงานทางความคิดของคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ได้ผลแค่ไหน
ส่วน “ขบวนการล้มเจ้า” ที่ว่ากันว่า มีมายาวนานแล้ว และล้างสมองกันมาหลายรุ่น ก็คงไม่มีใครสงสัยอีกแล้ว?