เมืองไทย 360 องศา
เงียบจนเกือบลืมไปแล้วสำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ตอนแรกรับรู้กันทั่วไปว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ แทน นายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไป และพรรคก็ได้สรรหาบุคคลเข้ามาเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.จังหวัดพัทลุง
ที่ผ่านมา ทางพรรคประชาธิปัตย์ โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ส่งรายชื่อถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียบร้อยแล้ว โดยนายกฯได้บอกว่าให้ “รอจังหวะ” อีกระยะหนึ่งก่อน
ซึ่งคนทั่วไปก็เห็นตรงกันว่า “น่าจะปรับตำแหน่งเดียว” ตามโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ ตามความจำเป็นของพรรคที่จะมีผลต่อการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคในภาคใต้ เข้าใจกันได้ ขณะที่พรรคอื่นโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่ามีความเคลื่อนไหวขึ้นมาบ้าง ที่มาจากกลุ่มส.ส.ภาคใต้ ที่มี ส.ส.อยู่ 14 คน แต่กลับไม่มีรัฐมนตรีสักคน ก็ขยับอยากให้มีบ้าง เพื่อจะได้ไปแข่งขันกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น และยังมีโควตารัฐมนตรีเหลืออยู่ 2 ที่นั่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ แทน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ถูกปลดออกไปเมื่อปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับมาจากระดับบริหาร ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรค ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาเลย
ขณะที่ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คือ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จากคดีบุกรุกป่าสงวนที่เขาใหญ่ ก็มีท่าทีชัดเจนจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรค ออกมาย้ำแล้วว่า “ไม่ปรับ” เพราะสามารถทำงานทดแทนกันได้ อีกทั้งเป็นแค่การถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเท่านั้น
ทำให้ในตอนแรกเชื่อว่า จะปรับแค่ตำแหน่งเดียว ในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ล่าสุด กลับมีข่าวว่า นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอิสระ และประธานกรรมการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นหนังสือถึง คณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท. เพื่อขอลาออกจากตำแหน่งในบอร์ด ปตท.ทั้งหมด
โดยล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามเรื่องนี้เพียงสั้นๆ ว่า “เขาลาออก ก็คือลาออก”
เมื่อถามว่า ไม่เกี่ยวกับการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเดินกลับไปยังห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้าทันที
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ตอบคำถาม หลังจากถูกถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแล้วหรือยัง ภายหลัง นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ลาออกจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และลาออกจากบอร์ด ปตท. ว่า เป็นการส่งสัญญาณการปรับ ครม. หรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร ได้ถามกลับสื่อว่า ใครนะ ใครลาออก โดยนักข่าวได้บอกย้ำชื่อ นายทศพร แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ตอบคำถามดังกล่าว ว่า จะมีการให้นายทศพร มาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ โดยขึ้นรถกลับทันที
นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นการลาออกของ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ว่า เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ระบุว่า การลาออก ไม่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงเหตุผลทางการเมือง เป็นการตัดสินใจด้วยเหตุผลส่วนตัวของนายทศพรเอง ส่วนเรื่องการเมืองตอนนี้ นายกฯ และรัฐบาล มุ่งเน้นเรื่องการทำงานให้เป็นไปตามกรอบนโยบายมุ่งเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นหลัก อย่าพึ่งมุ่งเป้าไปถึงเรื่องความขัดแย้ง หรือกระแสในสังคมต่างๆ ที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น
เธอย้ำว่า นายกฯ ให้ความสำคัญเรื่องการเตรียมพร้อมการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก ที่จะมาถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมขอให้สื่อมวลชนและประชาชนให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าว
แน่นอนว่า การลาออกจากตำแหน่งภายในบอร์ด ปตท.ของ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ย่อมต้องจับตาว่าเกี่ยวพันกับการปรับคณะรัฐมนตรี ครั้งนี้หรือไม่ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ ก็เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เขาจะเข้ามาเสริมทัพทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายในเวลาที่เหลืออยู่ แม้จะไม่กี่เดือน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากประวัติการทำงานของนายทศพร เคยเป็นเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์” มาก่อน และที่ผ่านมา เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ “กุนซือด้านเศรษฐกิจ” ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด ถือว่าได้รับความไว้วางใจมากคนหนึ่ง ดังนั้น หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้สำหรับการรับตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ในรัฐบาล โดยอาจเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวกับกลุ่มธุรกิจ “เอสเอ็มอี” เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรืออาจเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่จะเพิ่มขึ้นมาอีกตำแหน่ง
หากพิจารณาจากความเป็นไปได้ ล่าสุด เท่าที่เห็นมันก็น่าจะออกมาเป็นแบบ “ปรับแค่สองตำแหน่ง” นั่นคือ ปรับตามโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งตำแหน่ง และอีกตำแหน่งเป็นไปตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ามาเสริมทัพด้านเศรษฐกิจ ในช่วงปลายรัฐบาล
ดังนั้น หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีตามนี้จริง ก็ต้องย้ำให้เห็นว่าเป็นการปรับเพื่อผลทางเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลจริงๆ มากกว่าเหตุผลทางการเมือง เป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีที่ถือว่ามีอยู่เต็มมือ หลังจากสภามีวาระการประชุมสมัยสามัญครั้งสุดท้ายอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่มีญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติอีกแล้ว ขณะเดียวกัน การปรับเล็กแบบนี้ยังป้องกันแรงกระเพื่อมภายในพรรคโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายสำคัญก็คือ มุ่งเน้นเรื่องการประชุมเอเปกที่กำลังจะเริ่มในเดือนหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น เป็นงานสำคัญส่งท้าย คงอยากให้ทุกอย่างจบสวย จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีหรือเปล่า !!