ข่าวปนคน คนปนข่าว
** สงครามไม่จบ กองหนุนลุงฟาด “โน้ส-อุดม” เป็น “ตลกชังชาติ” “เฮียชู-พี่แจ้” เห็นต่าง ควรอวย-ตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐบาล
ดรามาจากมุกตลกเสียดสี “ลุงตู่” และรัฐบาล ของ “โน้ส” อุดม แต้พานิช บนเวที “เดี่ยว 13” ที่ร้อนแรง กลายเป็นไวรัลว่อนโซเชียลฯ หลังจากช่องเน็ตฟลิกซ์ สตรีมมิ่งชื่อดังของโลก นำบันทึกการแสดงสดมาเผยแพร่ ยังเป็นกระแสให้ทั้งกองหนุน-กองแช่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไสม้ามาทำศึกกันดุเดือด
นอกจาก “ป๋าเทพ” เทพ โพธิ์งาม ตลกรุ่นใหญ่ ที่ออกมาด่ายับตลกรุ่นหลานเมื่อวันก่อน โดยว่า “โน้ส” ไม่ได้หยิบด้านดีของรัฐบาลลุงมาพูดบ้าง พูดและเล่นมุกอยู่บนพื้นฐานความคิดเก่าเหมือนๆ คนอื่น
พร้อมๆ กันนี้ เพจเฟซบุ๊ก “ลุงตู่ตูน” ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ตั้งฉายา “โน้ส-อุดม” ว่า เป็น “ตลกชังชาติ” ไปซะแล้ว...โดยโพสต์ข้อความ หัวข้อ “ประเทศไทยดีที่สุดในโลก” จากผลสำรวจของนิตยสาร U.S. News ประจำปี 2022 ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 28 โลก อันดับ 5 ของเอเชีย อันดับ 2 ของอาเซียน และบอกด้วยว่า เรื่องดีๆ ของประเทศที่คนบางกลุ่มไม่เคยพูดถึง ตัวเลขไม่เคยโกหก ผลสำรวจจากนิตยสาร U.S. News จัดลำดับ 85 ประเทศที่ดีที่สุดในโลกปี 2565 โดยสำรวจจาก 17,000 คน ในด้านต่างๆ อาทิ ท่องเที่ยว วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การอยู่อาศัย คุณภาพชีวิต เป็นต้น โดยจัดลำดับประเทศ ดังนี้ 1. สวิตเซอร์แลนด์ 2. เยอรมนี 3. แคนาดา 4. สหรัฐอเมริกา 5. สวีเดน 6. ญี่ปุ่น 7. ออสเตรเลีย 8. สหราชอาณาจักร 9. ฝรั่งเศส 10. เดนมาร์ก
สำหรับประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในลำดับ 28 ซึ่งอยู่ในลำดับ 2 ของกลุ่มอาเซียน เป็นรองแค่สิงคโปร์ ที่อยู่ในลำดับ 19 ซึ่งถือว่าประเทศไทยมีโอกาส มีศักยภาพ ที่จะสามารถพัฒนาให้ทัดเทียมนานาประเทศ หากคนไทยรักและสามัคคีกัน แต่ที่ผ่านมา มี “คนบางกลุ่ม” พยายามด้อยค่าการทำงานของรัฐบาล เพื่อดิสเครดิตทางการเมือง
ทั้งที่ “ลุงตู่” พยายามวางรากฐานที่ดีให้กับประเทศ โครงสร้างพื้นฐานเราตามหลังนานาประเทศ แต่ “ลุงตู่” วางรากฐานที่ดีเอาไว้ เพื่อให้ผลิดอกออกผลไปยังคนรุ่นหลัง”
“เงินกู้ที่ “ตลกชังชาติ” พูดเอามัน แท้จริงแล้วเอามาช่วยประชาชนในวิกฤตโควิด-19 ถามไปยัง “ตลกชังชาติ” ในสถานการณ์โควิด มีประเทศไหนไม่กู้เงินบ้าง การทำงานของ “ลุงตู่” มันไม่ได้หน้าในรุ่นนี้หรอก แต่มันจะส่งผลดีในระยะยาว และประเทศไทย จะทัดเทียมนานาประเทศได้ ก็เพราะผลงานของลุงตู่”
ส่วน “พี่ใหญ่ 3 ป.” ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฮัลโหลกับสื่อ เอ่ยถึงเรื่องนี้แบบ “ผู้ใหญ่ใจดี” ว่า ติดตามดู “โน้ส” มาตลอด ชื่นชมในความสามารถ ส่วนเรื่องวิจารณ์รัฐบาล เขาก็พูดมาทุกการแสดงเดี่ยว ในความคิดเห็นส่วนตัว คิดว่าเขาพูดเพื่อความบันเทิง คนดูก็มีวิจารณญาณในการฟังอยู่แล้ว ไม่ควรนำมาเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร
ขณะที่ “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว จากตัวอย่าง “โน้ส อุดม” หากไปอยู่เมืองนอกเมืองนา เขายกย่อง เพราะกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พออยู่เมืองไทย ทั้งรัฐบาลทั้งกองเชียร์ ออกมาดิ้นพล่านปกป้อง
ไม่ได้ชื่นชมว่าเมืองนอกดีกว่าเรา เพียงแต่อยู่เมืองไทยพูดความจริงแล้วมันอึดอัด ต้องเกรงใจเจ้าที่เจ้าทาง
อิสรภาพของการพูดด้วยความจริง ควรน่าได้รับความนับถือ ยิ่งพูดออกมาจากปากของศิลปินที่คนติดตามจำนวนมาก มันเป็นการสะท้อนถึงสังคมที่บิดเบี้ยว ดีกว่าไปดูจำอวดลิ่วล้อการเมือง มันน่าเบื่อจะตายไป
“อย่างน้อยยังให้ชาวบ้านได้หัวเราะออกมาบ้างในภาวะน้ำท่วมบ้านนอกอย่างนี้” เฮียชู ระบุ
ไม่เพียงเท่านี้ “พี่แจ้” ดนุพล แก้วกาญจน์ นักร้องรุ่นใหญ่ขวัญใจวัยรุ่นยุค 80-90 ก็ออกมาแสดงความเห็นเรื่องนี้
“พี่แจ้” เสนออีกหนึ่งมุมความคิดของตัวเอง ว่า ถ้าผมทำได้ ผมจะเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็น “โอกาส” โดยใช้พรสวรรค์ที่เขามีอยู่มากล้น ความคิด ความสุขสดชื่น สนุกสนานมาสร้างสรรค์ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ แทนความรุนแรงที่แสลงใจกันฯ
อย่างน้อย ผมจะเชิญคุณโน้ส มาเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นทูตช่วยคิด ช่วยรัฐสร้างสรรค์ส่งเสริม “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” ให้ดูดี มีสีสัน กระตุกต่อมคนรุ่นใหม่ได้
นี่เป็นสงครามความคิดที่เชื่อว่า ยังไม่มีทางจบลงง่ายๆ แน่ ตราบเท่าที่ “ลุงตู่” ยังอยู่ หรือจะไปต่อในสมัยหน้า ดรามาแบบนี้จะมีมาให้เห็นเรื่อยๆ แน่นอน เรื่องพรรค์นี้นานาจิตตัง แต่ถ้าลุงตู่ และกองหนุน คิดได้ ทำใจได้อย่าง “ลุงป้อม” ว่า มองให้เป็นเรื่องบันเทิงให้ประชาชนเขาคิดเองซะ...ก็จะดีกว่ามั้ยจ๊ะ
** เอาอีกแล้ว “ก้าวไกล” เปิดชุดนโยบายใหม่ แต่ก้าวไม่พ้น “ม.112” เสียที
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา “พรรคก้าวไกล” สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดชุดนโยบายใหม่ ที่เตรียมไว้ใช้หาเสียงในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดย “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นำแถลงด้วยตัวเอง
ชุดนโยบายใหม่ของพรรคก้าวไกล ตั้งชื่อไว้เลิศหรูว่า “ไทยก้าวหน้า” มีเป้าสร้างประเทศไทยก้าวหน้า 9 ประเด็น คือ การเมืองไทยก้าวหน้า ราชการไทยก้าวหน้า ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า เกษตรไทยก้าวหน้า สวัสดิการไทยก้าวหน้า การศึกษาไทยก้าวหน้า สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า ...โดยทั้งหมดอยู่บนฐานคิดเดียวกัน คือ “ประเทศไทยเป็นของประชาชน”
โดยในวันนั้น ได้เปิดตัว “การเมืองไทยก้าวหน้า” ก่อน ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก คือ ทหารของประชาชน ศาลของประชาชน คนเท่ากัน และรัฐธรรมนูญใหม่ปลดล็อกประเทศไทย
“ทหารของประชาชน” ก็คือ เอาทหารออกจากการเมือง แจกใบแดงนายพล ลดจำนวนนายพล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย
“ศาลของประชาชน” ปฏิรูปศาล นิรโทษกรรมคดีการเมือง แก้ไข ม.112 ลงนามสัตยาบันศาลอาญาระหว่างประเทศ
ประเด็นนี้ “รังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรค แถลงขยายความว่า นโยบายการเมืองไทยก้าวหน้า ในหมวดศาล และกระบวนการยุติธรรม เริ่มจากการปฏิรูปศาลให้ยึดโยงรับใช้ประชาชน ให้ผู้พิพากษาต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งพรรคก้าวไกล ได้เสนอแก้ไขไปแล้ว และขณะนี้ร่างแก้ไขชุดกฎหมายเหล่านี้ ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาแล้ว ยกเว้น “ร่างแก้ไขมาตรา 112” ที่สภาไม่ยอมบรรจุเข้าวาระ โดยอ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่พรรคก้าวไกล ยืนยันจะเดินหน้าผลักดันต่อไปหากได้เป็นรัฐบาล และย้ำว่าการแก้ มาตรา 112 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ได้กระทบต่อพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขของประเทศ
ส่วนนโยบาย “คนเท่ากัน” จะให้ประชาชนสามารถเลือกใช้คำนำหน้านามได้ตามความสมัครใจ ไม่ว่าจะมีเพศสภาพแบบไหนก็ตาม ให้สตรีลาคลอดได้ 180 วัน พระสงฆ์ไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ และเพิ่มการจ้างงานผู้พิการ
ด้านนโยบาย “รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ปลดล็อกประเทศไทย” พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชาย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะผู้จัดการฝ่ายสื่อสารและรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล เป็นผู้แถลง ก็บอกว่า นโยบายการเมืองไทยก้าวหน้าด้วยการสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ฉบับประชาชน ที่มีเนื้อหาสำคัญ คือ การปิดช่องรัฐประหาร ปิดช่องการให้คณะรัฐประหารนิรโทษกรรมตัวเอง ปลดอาวุธระบอบประยุทธ์ ที่ถูกฝังไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 คือ ส.ว. แต่งตั้งองค์กรอิสระ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
รัฐธรรมนูญใหม่ ยังจะต้องปลดล็อกท้องถิ่นใน 3 เรื่อง คือ ปลดล็อกอำนาจ ให้ท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการบริการสาธารณะทั้งหมดในพื้นที่ ปลดล็อกงบประมาณ ให้ท้องถิ่นมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหาของประชาชน และที่สำคัญที่สุด คือ “การปลดล็อกทุกจังหวัด” ให้ผู้บริหารสูงสุดของทุกจังหวัด มาจากการเลือกตั้ง
ได้ฟังนโยบายชุด “การเมืองก้าวหน้า” ของพรรคก้าวไกล หลายคนก็คงจะเห็นด้วยว่ามีความก้าวหน้าในหลายๆ เรื่อง ถ้าทำได้จริง ก็น่าจะนำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศชาติตามชื่อนโยบาย
แต่ที่ยังข้องใจไม่หาย ก็คือ เรื่อง “การแก้ไขมาตรา 112” ที่พรรคก้าวไกล เคยเสนอไปแล้วหลายครั้ง แต่กระแสสังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย รวมทั้งการเสนอเป็นร่างกฎหมายเข้าสู่สภา พรรคก้าวไกลเองก็ยอมรับว่าถูกตีตก ด้วยเหตุผลของการขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่พรรคก้าวไกลก็ยัง “ดันทุรัง” บรรจุเข้าเป็นนโยบายพรรค ที่ทำออกมาใหม่ และเตรียมใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่อีก
เรื่องนี้ มีมุมมองที่น่าสนใจจาก “นิโรธ สุนทรเลขา” ส.ส.นครสวรรค์ พรรค พปชร. และประธานวิปรัฐบาล ที่ตั้งข้อสังเกตว่า นักการเมืองแบบพวกเขา (พรรคก้าวไกล) ต้องพยายามทำเรื่องนี้ เพื่อบ่มเพาะคนไว้ เมื่อมีแฟนคลับกลุ่มเหล่านี้อยู่เขาต้องพยายามหาเสียง เพื่อให้ได้เสียงกลับมา จึงต้องไปคิดกันเองว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม
“ที่เขาทำเรื่องนี้ก็เพื่อบ่มเพราะแฟนคลับของตัวเองที่เป็นคนรุ่นใหม่เอาไว้ ส่วนตัวมองว่ายังมีกฎหมายที่มีปัญหาอีกเยอะแยะ ที่ควรจะคิดแก้ไข ส่วนตามมาตรา 112 เหมือนกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป แต่การจะไปก้าวล่วงในเรื่องพวกนี้ ทำเพื่ออะไร เพราะแม้แต่ประชาชนทั่วไปยังมีกฎหมายหมิ่นประมาท ดังนั้น ควรจะไปหาเรื่องอื่นทำจะดีกว่า”
มุมมองของประธานวิปรัฐบาล ก็คงไม่ต่างจากประชาชนทั่วไปที่เห็นว่า มาตรา 112 ไม่ใช่ตัวปัญหาของการพัฒนาบ้านเมือง ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนกว่าอีกเยอะ
และทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ที่พรรคก้าวไกลก็ยังก้าวไม่พ้นเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 นั้น เพราะไปรับเอาแนวความคิดหรืออุดมการณ์อะไรมา ถึงได้ฝังหัวลบล้างไม่ออกเสียที !!