“ประวิตร” ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ขอบคุณช่วยงาน รบ.ลั่น ขรก.ไม่ใช่นาย ปชช. แต่ต้องดูแล ปชช. และต้องทำงานตามภารกิจหน้าที่ ขอบคุณคนที่เกษียณปีนี้ ย้ำ ขอให้ทุกคนภาคภูมิใจในการเป็น ขรก. ที่มีโอกาสได้รับใช้ประเทศชาติ และ ปชช.
วันนี้ (29 ก.ย.) เวลา 10.30 น. ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและเทียบเท่าร่วมประชุมด้วย คือ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการ สมช. เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการ รวม 42 คน ทั้งนี้ ปี 2565 มีปลัดกระทรวงและตำแหน่งเทียบเท่าเกษียณอายุราชการ รวม 14 คน
พลเอก ประวิตร กล่าวเปิดประชุม และขอให้ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่า ที่จะเกษียณอายุ จำนวน 12 คน ได้กล่าวถึงประสบการณ์และผลงานสำคัญในการทำงานที่ผ่านมา ทั้งนี้ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงและเลขาธิการ ทุกคน ได้กล่าวสรุปงานสำคัญ ความประทับใจในการทำงาน และได้กล่าวขอบคุณ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทุกท่าน ที่ได้มอบหมายและสนับสนุนให้ทำหน้าที่สำคัญนี้
พลเอก ประวิตร ยังกล่าวย้ำกับหัวหน้าส่วนราชการทุกคน สรุปดังนี้
1. ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณ หัวหน้าส่วนราชการ ปลัดกระทรวง และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ช่วยงานรัฐบาล
2. ข้าราชการไม่เป็นนายประชาชน แต่ต้องดูแลประชาชน และต้องทำงานตามภารกิจหน้าที่ ถือว่าเป็นโอกาสสูงสุดที่ได้รับความไว้วางใจให้รับใช้แผ่นดินเกิดของเรา
3. ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าส่วนราชการทุกคนที่ประสบความสำเร็จในการรับราชการ เพราะตำแหน่งปลัดถือว่าสุดยอด เมื่อเปลี่ยนไปเป็นประชาชน ขอให้ไปเป็นผู้นำที่สร้างสิ่งดีๆ ต่อสังคม
4. ได้กล่าวอวยพร ขอให้ทุกคนให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง
ด้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (29 ก.ย.) เวลา 10.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2565 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ โดยมี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งฝ่ายข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำเข้าร่วมด้วย โดยปีนี้มีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่ครบเกษียณอายุราชการจำนวน 14 ราย ได้แก่ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งนี้ ว่า เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2565 ซึ่งเป็นธรรมเนียมในการมาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล โดยสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานเจ้าภาพจัดการประชุม เพื่อจะได้ร่วมกันขอบคุณ และอำลาปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการ ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ โดยอยากให้บรรยากาศการประชุมวันนี้เป็นไปอย่างผ่อนคลาย ได้คุยกันอย่างเพื่อนร่วมงานที่ได้ร่วมกันเผชิญฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคในการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชนตลอดมา
ในต้อนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำถึงการรับราชการของทุกคนซึ่งทำงานด้วยความรักในชีวิตข้าราชการ แม้ต้องแลกด้วยความทุ่มเทอุทิศเสียสละเพียงใด แต่ทุกคนก็ภาคภูมิใจในการได้เป็นข้าราชการที่มีโอกาสได้รับใช้ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีก็เป็นคนหนึ่งที่ผ่านชีวิตการรับราชการจึงรู้ดีว่าต้องเสียสละเพียงใด พร้อมชื่นชมและแสดงความยินดีที่ทุกคนได้ประสบความสำเร็จ ก้าวมาถึงตำแหน่งสูงสุดในอาชีพข้าราชการ ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ยศตำแหน่งสูงสุดเท่านั้น หากแต่เป็นโอกาสและความรับผิดชอบสูงสุด ที่ทุกคนได้รับความไว้วางใจในการรับใช้แผ่นดินถิ่นเกิด และขอให้ทุกคนภาคภูมิใจเสมอ ว่า คือส่วนหนึ่งที่ได้นำพาบ้านเมืองสู่ความเจริญรุ่งเรือง และยามใดที่บ้านเมืองประสบปัญหาภาวะวิกฤต หัวหน้าส่วนราชการก็เป็นกลไกหลักสำคัญที่ได้นำพาบ้านเมืองผ่านช่วงเวลาแห่งวิกฤตนั้น สำหรับในส่วนของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ที่ครบเกษียณอายุราชการ จากนี้ไป แม้ว่าชีวิตราชการจะเดินมาถึงวันเกษียณแล้ว แต่เชื่อมั่นว่าทุกคนจะยังเป็นผู้นำในภาคพลเมืองที่สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับสังคมในภาคส่วนต่างๆ ด้วยประสบการณ์อันล้ำค่าเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการและคนรุ่นหลังต่อไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับฟังการรายงานสรุปผลงานสำคัญของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) จากเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผ่านการนำเสนอวิดีทัศน์ โดยกล่าวถึงการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดประเทศ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะศูนย์กลางสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ในการบริหารราชการแผ่นดิน ได้ปรับบทบาทภารกิจเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ในการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานในยุค New Normal โดยรัฐบาลมีนโยบายมุ่งสู่การดำเนินมาตรการเปิดประเทศ ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเป็นปีที่มุ่งมั่นการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG รองรับการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC การลดก๊าซเรือนกระจก การเตรียมความพร้อมของจังหวัด พัฒนาความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าและพำนักในประเทศ รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกภายหลังการเปิดประเทศ ตลอดจนมุ่งแก้ปัญหาความยากจน ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการดำเนินงานในด้านต่างๆ เช่น (1) ด้านการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่ตรวจราชการ และการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เพื่อรับฟังและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้จัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดกระบี่ และจัดการเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวม 17 ครั้ง โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว เพื่อเตรียมการรองรับการเริ่มเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ของประชาชน อาทิ อุทกภัย ภัยแล้ง ความยากจน ฝุ่นละอองและหมอกควันไฟป่า ทั้งนี้ สลน. ได้สนับสนุนจัดการประชุมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อนายกรัฐมนตรีสามารถบริหารติดตามสถานการณ์ แบบ Anywhere, Anytime ในทุกมิติอีกด้วย (2) ภารกิจสำคัญที่ สลน. ได้รับมอบหมายคือการทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รวมทั้งได้ติดตามและประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการฟื้นฟูและบรรเทาปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนตามที่นายกรัฐมนตรีมีบัญชา โดยปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ ได้คลี่คลายลงแล้ว โดยประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ตามปกติ และจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ของประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
(3) สลน. ได้สนับสนุนภารกิจการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานในเรื่องที่สำคัญ อาทิ ด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและวางรากฐานการพัฒนาประเทศ รวมทั้งในทุกสัปดาห์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี สลน. ยังได้ประสานให้มีการจัดแสดงผลงานเด่นของส่วนราชการ/หน่วยงาน เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนและวิสาหกิจชุมชนตามอัตลักษณ์ของพื้นที่ และเรื่องอื่นๆ (4) การจัดกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักของ สลน. ในการจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทนของรัฐบาลและปวงชนชาวไทยในการถวายพระพรชัยมงคล และแสดงความจงรักภักดีเนื่องในวโรกาสสำคัญ (5) ด้านการต่างประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ สลน. ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ จัดการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการตามคำเชิญ จนประสบผลนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างประชาชนของสองประเทศ
นอกจากนี้ สลน. ยังเป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จัดการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จัดการเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ จำนวน 62 ครั้ง ประสานภารกิจนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศและการหารือทางยุทธศาสตร์สำคัญกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกลและวีดิทัศน์ อาทิ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ประจำปี ค.ศ. 2021 ที่ประเทศไทยเข้าร่วมพิธีรับมอบตำแหน่งเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ประจำปี ค.ศ. 2022 ตลอดปีที่ผ่านมาจึงเป็นปีที่นายกรัฐมนตรี เน้นภารกิจเตรียมการและเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ซึ่งไทยได้กำหนดหัวข้อหลัก คือ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันสู่สมดุล” เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก (6) ด้านการเชื่อมโยงฝ่ายบริหารกับรัฐสภา สลน. ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร หรือ วิปรัฐบาล โดยในปีที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ และผลักดันให้มีการประกาศใช้กฎหมายที่สำคัญ จำนวน 28 ฉบับแล้ว อาทิ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เป็นต้น (7) ในการสร้างการรับรู้ของประชาชนต่อนโยบายและข่าวสารของรัฐบาล เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนในวงกว้าง สำนักโฆษกร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ได้เพิ่มช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภารกิจของนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานของรัฐบาลในเชิงรุก ผ่านสื่อในรูปแบบที่กระชับ ฉับไว เข้าใจง่าย ตอบสนองต่อวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ อาทิ การถ่ายทอดสด (Live) การสื่อสารผ่าน Facebook Page ไทยคู่ฟ้า Podcast/Line Official Account และการนำเสนอด้วย Infographic ที่น่าสนใจ รวมทั้งร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ส่วนราชการต่าง ๆ ชี้แจงประเด็นข่าวสำคัญให้มีความถูกต้องอย่างทันท่วงทีและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม
พร้อมกันนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า สลน. ยึดมั่นต่อการทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ โดยพยายามเชื่อมโยงปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนสู่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมุ่งมั่นสู่การเป็น “องค์กรที่มีสมรรถนะสูง” ที่พร้อมสนับสนุนและอำนวยการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในการสานพลังของสังคมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินให้บรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่วางไว้ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตอันมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน.