เมืองไทย 360 องศา
งวดเข้ามาทุกทีแล้ว สำหรับการเมืองไทย โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นตามวาระ หรือเกิดขึ้นหากมีการยุบสภา ทุกอย่างถือว่ากำลังเริ่มนับถอยหลังกันแล้ว อย่างไรก็ตาม นาทีนี้คนที่ “กำหนดเกม” ก็ยังมาจากสองคนหลัก นั่นคือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนาม “กลุ่มสาม ป.” กับอีกขั้วหนึ่ง ก็คือ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร หากมีความเชื่อว่าเขาคือคนที่มีอิทธิพลต่อพรรคเพื่อไทย แบบเต็มร้อย
อย่างไรก็ดี ก่อนไปว่ากันในรายละเอียดก็ต้องพิจารณาภายใต้เงื่อนไขบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเงื่อนไขที่ว่านั้น ก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้อง “ได้ไปต่อ” ส่วนจะเป็นสองปี หรือ สี่ปี ความเข้มข้นก็จะมีระดับไม่เท่ากันอีก แต่เอาเป็นว่าให้ได้ไปต่อก็แล้วกัน
อย่างที่รับรู้กันไปแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดชี้ชะตาเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งหลายคนกำลังจดจ่อ ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนั้น ย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างแน่นอน เพราะอนาคตของ “บิ๊กตู่” ย่อมส่งผลกระทบมาถึงอนาคตของตัวเองอีกด้วย
หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว การเมืองไทยเวลานี้ คนที่กำหนดเกมมีอยู่ไม่กี่คน ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น เพราะกลุ่มการเมือง หรือกลุ่มอำนาจกลุ่มอื่น ถือว่ายังไม่อยู่ในข่ายเป็นระดับรองลงไปในแบบไม้ประดับเสียมากกว่า
แม้ว่าหลายคนอาจมองว่ายังมี “ฝ่ายกองทัพ” ที่อาจยังมีพลัง แต่ต้องไม่ลืมว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่มีเงื่อนไขที่สุกงอมพอที่ทำให้มีพลังพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับในอดีต ดังนั้น สิ่งที่เห็นก็คือการซุ่มเงียบอยู่ในที่ตั้ง หรือไม่ก็ต้องยอม “ไหลไปตามน้ำ” กับขั้วใดขั้วหนึ่ง ซึ่งเวลานี้ก็น่าจะเทมาทาง “สาม ป.” มากกว่าไปทางอื่น
ดังนั้น เมื่อเห็นภาพขั้วการเมืองข้างต้นชัดเจนแล้ว มันก็ทำให้เข้าใจถึงความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายที่กำลัง “เร่งมือ” กันอย่างเข้มข้นอยู่ในเวลานี้ หากเริ่มโฟกัสกันที่ฝ่ายของ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องทำทุกทางเพื่อ “กำจัด” หรือทำทุกทางให้ฝ่ายตรงข้าม คือ ฝ่าย “บิ๊กตู่” หรือ “สาม ป.” ให้พ้นทาง หรือไม่ก็ให้อ่อนแรงลงไปให้มากที่สุด เหมือนกับเวลานี้ที่พยายามสร้างแรงกดดันกันทุกทาง เริ่มต้นจากการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ขณะเดียวกัน ยังเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกับม็อบกดดันเพื่อหวังดิสเครดิต และลดความชอบธรรม
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างกำลังไร้ผล จนแทบไม่มีน้ำหนัก เพราะเมื่อทุกอย่างเข้าสู่ “โซนมาตรฐาน” นั่นคือ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว การเคลื่อนไหวแม้ทำได้ (บ้าง) แต่ก็ถือว่าไร้น้ำหนัก ตรงกันข้ามแรงกระแทกจะย้อนกลับมาด้วยซ้ำไป เพราะเท่ากับว่า ไม่ยอมรับและสร้างความปั่นป่วนไร้สาระไปอีก
ที่สำคัญ เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายสงสัยและเป็นคนยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัย ก็ต้องมีทางเดียวเท่านั้นก็คือ “ต้องรอฟัง” เมื่อผลออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับเท่านั้น เพราะหากคิดจะป่วนกดดันกันจริงๆ แล้ว ก็ไม่สมควรยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น แล้วก่อม็อบทั้งในและนอกสภากดดันให้พ้นไป แต่ก็นั่นแหละที่ไม่ทำ หรือไม่กล้าทำ เพราะยังติดล็อกจากองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ “กฎหมายเลือกตั้ง” ที่กำหนดกติกาใหม่ ที่คิดว่าตัวเองได้เปรียบยังคาอยู่ จึงไม่กล้าขยับโดยพลการมากกว่า
ดังนั้น ภาพที่เห็นการเคลื่อนไหวเวลานี้ มันถึงออกมาในแบบสร้างกระแสป่วน ดิสเครดิตเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาถึงขั้นแตกหัก เพราะเรื่องสำคัญคือ กติกาเลือกตั้งยังไม่มีผลบังคับใช้ ต้องอดทนรอไปก่อน
เมื่อมองข้ามช็อต ไปถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง นาทีนี้ไม่ว่ามองกันในมุมไหน ไม่ว่าจะแบบความรู้สึก หรือจากผลสำรวจของสำนักต่างๆ เกือบร้อยทั้งร้อย ล้วนออกมาในโทนเดียวกัน นั่นคือ พรรคเพื่อไทยนำมาที่หนึ่ง มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงมาก แม้ว่าเมื่อถามถึงคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ยังไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เชื่อว่า คนในครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่หนีไปจากชื่อของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีสิทธิลุ้นมากที่สุด ขณะที่คู่แข่งที่ยังมีพลังมากที่สุด ก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ดี แม้ว่าจะมีตัวสอดแทรกเข้ามาอย่าง พรรคก้าวไกล หรือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงที่เป็นไปได้มันก็ยังไม่มีแนวโน้ม ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือยังถือว่ายังห่างชั้น อย่างมากเป็นได้แค่ “ตัวแปร” ที่เสริมทีมเข้ามาในลักษณะ “ขั้วอำนาจ” หรือ “ขั้วหลัก” เท่านั้น
อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าใน “ขั้วอำนาจ” สองกลุ่มที่ว่านี้ อีกขั้วหนึ่งคือ “ขั้วสาม ป.” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแกนนั้น ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เขา “ต้องได้ไปต่อ” เท่านั้น ไม่ว่าจะสองปี หรือว่า สี่ปีก็ตาม แต่จะให้พุ่งทะยานก็ต้องออกอย่างหลัง คือ “สี่ปี” ไม่ใช่มาแบบครึ่งทาง เพราะหากครึ่งๆ กลางๆ ก็น่าจะกลับบ้านดีกว่า
แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า “ไม่ได้ไปต่อ” เพราะยังได้ “กำหนดเกม” เพื่อรักษาอำนาจ อย่างน้อยก็สามารถกำหนดทางถอยในวันข้างหน้าได้อย่างสมูท มากกว่า
ขณะเดียวกัน หากหวยมาออกที่ “บิ๊กตู่” ไม่ได้ไปต่อในวันที่ 30 กันยายนนี้ นอกจากส่งผลกระทบอย่างแรง ทั้งต่อตัวเขาเอง และกลุ่มอำนาจ “สาม ป.” ทั้งก๊วนแล้ว ในทางตรงข้ามยังส่งผลดีให้กับอีกขั้วหนึ่ง นั่นคือ พรรคเพื่อไทย กับ “โทนี่” เพราะถือว่าหมดเสี้ยนหนาม คู่ต่อกรที่ทรงพลังที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพราะหากพูดกันในความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ สาม ป. เท่านั้นที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร หวาดกลัวที่สุด
ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพ้นไป หรือไม่ได้ไปต่อ มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าแค่หลับตาก็มองออกแล้วว่าพรรคไหนจะเข้าวิน และใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และ นายทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ ตามที่เคยประกาศเอาไว้ล่วงหน้าได้หรือไม่ แต่อีกด้านหนึ่ง หากออกมาตรงกันข้าม “บิ๊กตู่” ยังอยู่และได้ไปต่อ มันก็ต้องดับฝันอีกฝ่ายลงเหมือนกัน เพราะแม้ว่าในสนามเลือกตั้งจะชนะ แต่ตามรูปการณ์แล้วยังไม่มีทางชนะขาด มันก็ไม่มีทางได้เป็นรัฐบาลแน่นอน ดังนั้น วันที่ 30 กันยายนนี้ เป็นวันชี้ชะตาของหลายคนที่ต้องลุ้นกันตัวโก่ง !!