เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนมานี้ หากสังเกตจะเห็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” มีความพยายามเคลื่อนไหวแบบสร้างกระแสในเรื่อง “จะกลับบ้าน” บ่อยครั้งขึ้น และชัดเจนมากขึ้น ทั้งเป็นการพูดด้วยตัวเองโดยตรง หรือผ่านตัวแทน คือ “ลูกสาว” แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย มีการย้ำให้เห็นในทุกเวทีที่ไปปรากฏตัวทำกิจกรรมทางการเมือง จะเน้นย้ำในเรื่องดังกล่าว จนทำให้บรรดาคอการเมือง เชื่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทย จะชู “แคมเปญพาพ่อกลับบ้าน” เป็นหนึ่งในเรื่องหลักอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่จะไปว่ากันถึงรายละเอียดและความเป็นไปได้ ก็ต้องมาทบทวนคำพุดของพวกเขากันอีกครั้ง โดย นายทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในโอกาสครบรอบ 16 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในหัวข้อ “ครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหาร” โดยนอกจากระบุถึงความเสียดาย 10 ข้อที่อ้างว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส ประชาชนเป็นหนี้ ล้าหลัง ไม่เป็นประชาธิปไตย สารพัด โดยในตอนท้ายเขายังมั่นใจว่า “อีกไม่นานจะได้กลับมาประเทศไทย”
“สำหรับส่วนตัวของผมเอง 73 ปีแล้ว ก็ยังอดห่วงอนาคตประเทศและลูกหลาน ไม่นานคงจะได้กลับไปเลี้ยงหลาน และแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับสังคมไทยเท่าที่กำลังกายและกำลังสมองยังดีอยู่” ซึ่งคำพูดของนายทักษิณ ในเรื่องจะกลับบ้านนั้นได้พูดซ้ำมาหลายครั้ง
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเวลานี้ได้เป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ที่คอการเมืองมองออกว่านี่คือตัวแทนของ นายทักษิณ เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป และที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทำกิจกรรมที่ไหนก็จะพูดถึงเรื่องที่ “พ่ออยากกลับบ้าน” รวมไปถึงแกนนำพรรคเพื่อไทย คนอื่นๆที่มักจะยกเรื่องนี้ขึ้นมา
ดังนั้น หากพิจารณากันตามนี้มันก็เข้าใจกันว่า เรื่อง “พาทักษิณกลับบ้าน” น่าจะเป็นอีกเรื่องหลัก หรืออาจจะเป็น “นโยบายหลัก” ของพรรคเสียด้วยซ้ำไป
ที่ผ่านมา มีการดำเนินการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อไปสู่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการ “ตรึง” ส.ส.และสมาชิกพรรคคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยเอาไว้ หรือแม้กระทั่งการดึงกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงการดึงมวลชนคนเสื้อแดง ที่เคยเป็นฐานสนับสนุนครอบครัว “ชินวัตร” มานานให้กลับมาอีกครั้ง หรือแม้กระทั่งล่าสุดที่ได้เห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาของนายทักษิณ ที่ปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี เพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจลูกสาว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ระหว่างลงพื้นที่ทำกิจกรรมชื่อว่า “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อหลายวันก่อน
แน่นอนว่า ทุกอย่างดังกล่าวล้วนเป็นความเคลื่อนไหวเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อเป้าหมายแรก นั่นคือ ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเสียก่อน โดย นายทักษิณ ชินวัตร ถึงกับมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยต้องชนะแบบ “แลนด์สไลด์” ต้องกวาด ส.ส.มากกว่า 250 คน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะนี่คือ “บันใดขั้นแรก” ที่สำคัญที่สุด เพราะการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว นั่นย่อมหมายถึงการมี “อำนาจเบ็ดเสร็จ” และสามารถทำตามเป้าหมายที่ต้องการได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” เพราะหาก นายทักษิณ ชินวัตร ต้องการกลับบ้านอย่างเท่ๆ ก็ต้องมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
ตามปกติแล้ว เขาสามารถกลับไทยได้ตลอดเวลา เพียงแต่มีข้อแม้ว่า “ต้องติดคุก” ก่อน เพราะมีสถานะเป็น “นักโทษหนีคดี” ที่เวลานี้มีไม่น้อยกว่าสองสามคดี ที่ถึงที่สุดถูกศาลพิพากษาจำคุกไปแล้ว รวมไปถึงอีกหลายคดีทุจริต ที่กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาคดีในศาล
ดังนั้น หาก “กลับมาแบบเท่ๆ” หรือ “มาแบบเหนือๆ” ก็ต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้เขาเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือ มันจะเป็นไปได้แค่ไหน เริ่มจาก “ตัวแทน” คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นั้นเวลานี้มี “กระแสปัง” หรือไม่ เพราะหลังจากเปิดตัวออกมา หากไม่อวยกันจนเกินจริงแล้ว ก็ยังถือว่าระดับ “ธรรมดา” มาก แม้ต้องยอมรับว่ามีความโดดเด่น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “ฟีเวอร์” อาจเป็นด้วยการเมืองยุคใหม่จะต้องมีการพิสูจน์ผลงาน มีประสบการณ์ มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน และที่สำคัญต้องมี “บุคลิกพิเศษ” รวมอยู่ด้วย แต่ที่ผ่านมาเธอยังไม่มี มีเพียงแค่เป็น“ลูกสาวทักษิณ”เท่านั้น
ขณะเดียวกัน เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปี แม้แต่กระแสของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังไม่เหมือนเดิมแล้ว มีแต่ถดถอย เด็กรุ่นใหม่แทบไม่คุ้นเคยกับเขาแล้ว เมื่อกระแสไม่ส่งแรง มันก็ทำให้เป้าหมายแลนด์สไลด์เป็นจริงได้ยาก ประกอบกับมวลชนคนเสื้อแดง อย่างที่ทราบกันดีว่าเวลานี้แตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
อย่างไรก็ดี หากผลออกมาในทางตรงข้าม นั่นคือ เกิดแลนด์สไลด์ขึ้นมาจริงๆ ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงท่วมท้น ถึงตอนนั้นมันก็จะเกิดความเสี่ยงในบ้านเมืองรอบใหม่ เพราะฝ่ายของนายทักษิณ จะอ้างอิงมติประชาชนว่า ประชาชนเลือกมา เพื่อให้ “พาทักษิณกลับบ้าน” ซึ่งก็ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ถึงตอนนั้น ก็น่าจะปั่นป่วน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำให้เกิดการชุมนุมต่อต้านของคนนับล้าน มากที่สุดในประวัติศาสตร์
ดังนั้น หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือ ยิ่ง นายทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเน้นย้ำว่าจะกลับบ้านมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้โอกาสความเป็นไปได้ ยิ่งน้อย หรือถอยห่างออกไปไกลเรื่อยๆ เพราะต้องไม่ลืมว่าในอดีตเกิดกระแสต่อต้านในเรื่อง “นิรโทษกรรมสุดซอย” แบบนี้มาแล้ว แม้ว่าเวลานี้กระแสของเด็กรุ่นใหม่เปลี่ยนไปแล้ว แต่รับรองว่าคนที่เคยร่วมต่อสู้มาก่อน ส่วนใหญ่ยังไม่ตาย และยังไม่ลืมแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ยิ่ง นายทักษิณ ชินวัตร พูดมากเท่าใด หรือพรรคเพื่อไทยจะนำเรื่อง “พากลับบ้าน” มากเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เกิดกระแสต่อต้าน เกิดการ “แบ่งขั้ว” กันชัดเจน ระหว่างฝ่ายหนุนและต่อต้าน ฝ่ายต่อต้านก็ไม่ต้องการให้เขามีอภิสิทธิ์ อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย มันยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการรวมตัวเป็นเอกภาพโดยธรรมชาติ แทนที่จะกระจายจน“เสียงแตก” เหมือนกับการเมืองเวลานี้
หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ยิ่ง นายทักษิณ ชินวัตร ออกโรงมากเท่าใด มันยิ่งเป็นผลลบมากกว่าบวก โดยเฉพาะเรื่อง “กลับบ้าน” จะกลายเป็นประเด็นอ่อนไหว ที่ทำให้อีกขั้วต้องรวมพลังต้าน แม้ว่าจะรู้ว่าคราวนี้น่าจะเป็นการลุ้นครั้งสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่หากเดินเกมพลาดอีก รับรองว่าต้องล่องลอยนอกวงโคจรไปตลอดกาลแน่นอน !!