“โหนรำลึก 19 ก.ย.” ! “เจ๊หน่อย-สุดารัตน์” ซัดรัฐประหาร จุดเริ่มต้นทำประเทศ “ติดล็อค” ขัดแย้ง “ติดหล่ม” ลั่นขอเป็นศัตรูกับ “รปห.-ความยากจน” “ทักษิณ” เสียดาย 10 ข้อไม่ได้ทำ “แรมโบ้” แลกหมัด 10 หายนะ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(19 ก.ย.65) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือที่สื่อเรียก “เจ๊หน่อย” หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุคส่วนตัว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า
“วันนี้เป็นวันครบรอบ 16 ปี การทำรัฐประหารรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อปี 2549
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้ง ที่ทำให้ประเทศของเราต้อง “ติดล็อค” มาจนถึงทุกวันนี้ “เลือกฝั่งหนึ่งก็ติดหล่ม เลือกอีกฝ่ายก็ติดล็อค”
ประชาชนถูกลิดรอน และคุกคามสิทธิเสรีภาพ การด้อยค่าประชาธิปไตย การละเลยต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรมเกิดปรากฏการณ์ “นิติประหาร” สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างการเมือง 2 ขั้ว ที่แย่งชิงอำนาจตลอด 16 ปีที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรง จนทำให้ประเทศชาติของเราเสื่อมถอยลงทุกด้าน
เราจึงต้องเร่งปลดล็อคความขัดแย้ง โดยคืนอำนาจให้ประชาชน “สร้างรัฐธรรมนูญของประชาชน” โดยการเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญจากประชาชน
เพื่อให้ประชาชนได้กำหนดกติกาหลักของประเทศ ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อรัฐธรรมนูญมาจากประชาชนทุกฝ่ายต้องยอมรับ
และที่สำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนี้ ต้องมีบทบัญญัติให้คนที่ทำรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฏ ต้องได้รับโทษสูงสุด โดยการนิรโทษกรรมให้ผู้ทำรัฐประหาร จะทำไม่ได้อีกต่อไป เพื่อตัด “วงจรอุบาทว์” ที่ประเทศไทยต้องวนเวียนกับการรัฐประหารและสืบทอดอำนาจ
ไทยสร้างไทย เรามุ่งปลดล็อคความขัดแย้ง การเมือง 2 ขั้ว ที่ทำให้ประเทศไทยติดล็อคมา16 ปี “เลือกฝั่งหนึ่งก็ติดหล่ม เลือกอีกฝั่งก็ติดล็อค” ประเทศเดินต่อไม่ได้ประชาชนทุกข์ยาก ทำมาหากินยากลำบาก ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง จนคนรุ่นใหม่มองไม่เห็นอนาคต
ไทยสร้างไทยไม่มองคนคิดต่างเป็นศัตรู เราควรต้องรับฟังกันด้วยเหตุผล แบบพี่น้องร่วมชาติ มุ่งสร้าง EMPATHY DEMOCRACY โดยมองเป้าหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก
ศัตรูของไทยสร้างไทยจึงไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง แต่ศัตรูของเราคือ “เผด็จการ” และ “ความยากจนของประชาชน” ที่เราต้องเร่งขจัด
ดิฉันและไทยสร้างไทย เรามาเพื่อ "สร้างโอกาส ไม่ใช่สร้างวิกฤต ความขัดแย้ง" ซ้ำเติมประเทศ ดิฉันและไทยสร้างไทยจะทำทุกวิถีทางที่จะปลดล็อคความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้ว
#ไทยสร้างไทย ขอมุ่งหน้าทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เราขอสัญญา”
ขณะเดียวกัน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุก Thaksin Shinawatra ระบุว่า
“ครบรอบ 16 ปี ของการรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 ขณะที่ผมเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาผมถูกการรัฐประหารลับหลัง (ถูกลอบกัดโดยชายชาติทหาร) ผมเสียดายสิ่งดีๆที่ควรจะเกิดแต่วันนี้กลายเป็นความเลวร้าย
1. ผมเสียดายความเป็นประชาธิปไตยของประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแต่วันนี้เรากลับต้องมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเผด็จการ
2. ผมเสียดายความสง่างามและความไว้เนื้อเชื่อใจของประเทศไทยบนเวทีโลก
3. ผมเสียดายโอกาสประเทศในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น การศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรม
4. ผมเสียดายโอกาสในการแก้ปัญหาความยากจนซึ่งคนไทยควรจะหายจนไปแล้ว
5. ผมเสียดายโอกาสของคนไทยที่ทุกวันนี้มองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน
6. ผมเสียดายความเป็นศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ทั้งๆที่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน
7. ผมเสียดายที่ลูกหลานต้องติดยาเสพติด ซึ่งตอนนี้ซื้อง่ายยิ่งกว่าหมากฝรั่ง
8. ผมเสียดายที่น้ำท่วมซ้ำซากเพราะไม่ได้บริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
9. ผมเสียดายระบบราชการที่กำลังทันสมัยต้องกลับมาเป็นรัฐราชการที่ประชาชนต้องวิ่งวอนขอรับการบริการ
10. ผมเสียดายที่ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มจากการบริหารงานที่ผิดพลาดจนต้องขยายเพดานการกู้และหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนสูงจนจะใช้คืนได้ยาก
ผมบอกแล้วว่าทหารเหมือนหัวหน้ายามที่ใช้เฝ้าทรัพย์สิน ดูแลความปลอดภัย ไม่ใช่มาเป็น CEO หรือมาบริหารประเทศ เพราะเป็นแต่ใช้ตังค์ แต่หาตังค์ไม่เป็น
ขอให้พี่น้องคนไทยช่วยกันสนับสนุนประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบเพื่อประเทศไทยของเราและลูกหลานจะได้มองเห็นอนาคตและเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้
สำหรับส่วนตัวของผมเอง 73 ปีแล้ว ก็ยังอดห่วงอนาคตประเทศและลูกหลาน ไม่นานคงจะได้กลับไปเลี้ยงหลานและแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับสังคมไทยเท่าที่กำลังกายและกำลังสมองยังดีอยู่
ด้วยเคารพรักและห่วงใย”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้อีสาน” ลูกน้องเก่า “ทักษิณ” และอดีตแกนนำเสื้อแดง” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมาตอบโต้ นายทักษิณ ทันที
โดยนายเสกสกล ระบุว่า นายทักษิณไม่ควรออกมาโพสต์เฟซบุ๊กในทำนองที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ และการรัฐประหารทำให้ประเทศเสียโอกาสทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า การที่ต้องทำรัฐประหารมีสาเหตุเกิดจากอะไร ไม่ใช่เพราะการบริหารงานผิดพลาดเห็น แต่ผลประโยชน์ของคนในครอบครัวและพวกพ้องจนทำให้คนทั้งประเทศออกมาขับไล่ แถมยังมีคดีติดตัวมากมาย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยและหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศ
นายเสกสกล กล่าวว่า หากนายทักษิณไม่ถูกรัฐประหาร เป็นนายกฯอยู่ต่อ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองนี้ 10 ข้อ ดังนี้
1.ประชาธิปไตย ที่ถูกวางรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จะกลายเผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จะถูกยึดเบ็ดเสร็จโดยมหาเศรษฐี ที่อ้างมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ระบบเผด็จการเสียงข้างมากลากไปจะเกิดขึ้นในยุคทักษิณ จนถูกขนานนามว่าระบอบทักษิณหรือระบอบเผด็จการรัฐสภา
2.ประเทศชาติบ้านเมืองจะสูญสิ้นความสง่างามในสายตานานาชาติ เพราะเต็มไปด้วยการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
3.ระบบการศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรมของประเทศชาติบ้านเมือง จะไม่มีวันเติบโต เพราะถูกเลี้ยงไข้คล้ายให้เป็นแมวป่วย เชื่องๆ ที่ไม่มีวันจะรู้เท่าทันผู้นำที่คิดโกงกิน
4.คนยากจนจะมากยิ่งขึ้นจะทบทวีคูณ เพราะที่ผ่านมาตระกูลชินวัตรเป็นรัฐบาล 4 ชุด เข้าครองอำนาจรวมเกือบ 10 ปี พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ตรงกันข้ามคนจนกลับเพิ่มมากขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางสังคมยิ่งถ่างกว้างมากกว่าเดิมอีก
5. คนไทยจะมองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน เพราะประเทศชาติจะเต็มไปด้วยการทจุริตคอร์รัปชันทุกหย่อมหญ้าแรงงานถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ นักศึกษาตกงานว่างงาน เดินเตะฝุ่นเต็มแผ่นดิน
6.ศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ที่นายทักษิณบอกเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนนั้น จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากประเทศชาติบ้านเมืองยังมีภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชันและปล่อยให้พวกพ้องสมุนในเครือข่ายเข้าไปครอบงำแสวงหาผลประโยชน์เอื้อประโยชน์ ให้พวกตนเองและพวกพ้องจากสนามบินสุวรรณภูมิ
7.การปราบปราบยาเสพติด จะรุนแรงมาก และจะมีประชานผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมาก กระบวนการยุติธรรมจะไม่มีความหมาย เพราะใช้ระบบศาลเตี้ยเข้ามาแทนที่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์จะถูกวิสามัญฆาตกรรมตามบัญชีดำใบสั่งของผู้นำอีกมากมายเต็มแผ่นดิน จากคนที่ต้องการจัดการกับคู่แข่งทางการเมืองโดยอ้างชื่ออยู่ในบัญชีดำยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล
8.น้ำจะท่วมซ้ำซาก เพราะไม่ได้บริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เห็นได้จากการน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุคที่ว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย และจะเกิดอภิมหาโปรเจคเงินกู้มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเพื่อหวังกอบโกยโกงกินจากเงินทอนจะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายหลายโครงการด้วยงบเงินกู้หลายแสนล้านบาท
9.ระบบราชการจะล้าหลัง ไม่ทันสมัย เพราะอยู่ใต้ระบบอุปถัมภ์ ในแบบที่ว่า "ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน" ใครหือคิดไม่เหมือนท่านผู้นำ จะถูกเตะโด่ง ถูกกดทับไม่มีโอกาสเติบโตในสายงาน ระบบอุปถัมภ์ตั้งเครือญาติหรือพวกพ้องขึ้นเป็นผู้นำเหล่าทัพ ข้ามหัวคนอื่นจะเกิดขึ้นได้เห็นชัดเจนในยุคระบอบทักษิณ
และข้อ 10. ประชาชน ประเทศจะเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะผู้นำจะกู้เงินที่อ้างว่านำมาพัฒนาประเทศ สุดท้ายก็โกง และประเทศขาติประชาชนต้องรับกรรมที่ผู้นำขี้โกงทำไว้ เช่น โครงการเงินกู้อภิมหาโปรเจค 2.2 ล้านล้านบาท โครงการแก้น้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท โครงการรับจำนำข้าวที่ทิ้งหนี้ไว้ 9 แสนล้านบาท ที่ทุกวันนี้ยังใช้หนี้ไม่หมดเป็นต้น
นายเสกสกล กล่าวด้วยว่า ส่วนนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ออกมาโพสต์ตามพ่อว่า "เมื่อไหร่ประเทศไทยจะเลิกใช้การรัฐประหารเป็นอาวุธเพื่อขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตยเสียที" ตนก็อยากถามกลับว่า แล้วเมื่อไหร่จะบอกให้คนใกล้ชิดเลิกคิดโกงบ้านโกงเมือง เพื่อปิดประตูให้รัฐประหารเสียที
“ตนเองกลับดีใจด้วยซ้ำที่มีการทำรัฐประหาร เพราะประเทศจะได้ไม่มีผู้นำแบบนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ที่เห็นแต่ประโยชน์ครอบครัว ไม่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักเลยสักนิด อีกทั้งยังมีการทำผิดกฎหมายแล้วก็หนีออกไปต่างประเทศ ไม่ยึดหลักตามกระบวนการยุติธรรม โกงจนรวยแล้วหนีคดี ไปแสวงหาความสุขส่วนตัวอยู่ต่างประเทศ ซึ่งต่อไปหากมีผู้นำเช่นนี้บ้านเมืองคงพังพินาศประชาชนก็ต้องออกมาขับไล่อีก ไม่มีวันที่สิ้นสุดเหมือนเดิม ให้เฝ้าระวังจับตาดูทายาทนายทักษิณคนต่อไป ว่าจะเหมือนพ่อและอาหรือไม่
ดังนั้นนายทักษิณและนายพานทองแท้และเครือข่ายสมุนสาวกของนายทักษิณ ขออย่ามองว่า การทำรัฐประหารจะเลวร้ายเสมอไป เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่า นายกฯที่มาจากการทำรัฐประหาร ก็สามารถทำให้ประเทศเดินหน้าได้ รักประชาชน ห่วงใยประชาชนห่วงใยประเทศชาติ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเป็นห่วงบ้านเมืองมากกว่านายกฯขี้โกง
และสำคัญที่สุดผู้นำที่มาจากรัฐประหารไม่เคยคิดทุจริตคอร์รัปชัน โกงบ้านโกงเมือง ซึ่งแตกต่างจากคนที่เคยเป็นอดีตนายกฯที่มองตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อประโยชน์ของใครเลยนอกจากครอบครัว วงศ์ตระกูล ประเทศชาติจะพังพินาศ ประชาชนจะเดือดอย่างไรช่างปะไร ขอให้ครอบครัวและพวกพ้องร่ำรวยได้ผลประโยชน์จาการบริหารประเทศเป็นพอ อย่างนั้นใช่ไหม”(จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, นี่คือ การโหนกระแส “รัฐประหาร 19 กันยา” อย่างเห็นได้ชัด “คุณหญิงสุดารัตน์” ในปัจจุบัน ประกาศรณรงค์หาเสียงทางการเมือง ด้วยนโยบาย “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เป็นการเมือง “ขั้วที่ 3” หรือ รัฐบาลขั้วที่ 3 และพร้อมเสนอตัวเป็น “นายกรัฐมนตรี”
ดังนั้น การพูดถึง “รัฐประหาร” การโจมตี “เผด็จการ” รวมทั้ง ขั้วขัดแย้ง ที่ใช้คำว่า แย่งชิงอำนาจกันมา 16 ปี หมายถึงใครไปไม่ได้ นอกจากฝ่ายเผด็จการทหารกับ “ระบอบทักษิณ”?
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มเป้าหมายของ “คุณหญิงหน่อย” ก็คือ คนรุนใหม่ที่ไม่เอา “เผด็จการ” กลุ่มคนที่ไม่เอา “ทักษิณ” และกลุ่มคนที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งของ “สองขั้ว” สรุปว่า ตีกินได้หมดเลย
ส่วน “ทักษิณ” กับ “แรมโบ้” คนหนึ่งพยายามจะโหนรำลึกรัฐประหาร “19 กันยา” เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี และอ้างตนถูกกระทำ อีกคนรู้ทันเกม เหมือน “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” เพราะเคยเป็นลูกน้องเก่า และเคยต่อสู้เพื่อ “นาย” มาก่อน จึงออกมาตอบโต้ชนิดหมัดต่อหมัด
10 ข้อที่เสียดาย ของ “ทักษิณ” กับ 10 ข้อ ที่เสี่ยง หายนะ ของ “แรมโบ้” ให้ผู้อ่านตัดสินเอง ว่าใครพูดความจริงและมีเหตุผลกว่ากัน!?
ทั้งยังเป็นการต่อสู้กันของ “สองขั้วขัดแย้ง” ที่คุณหญิงหน่อยพูดถึง นั่นเอง