“สุดารัตน์-โภคิน” ร่วมประกาศปลดล็อกความขัดแย้ง-เปลี่ยนประเทศ-สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ย้ำ มุ่งทำ “ไทยสร้างไทย” เป็นสถาบันการเมือง-พรรคของคนตัวเล็ก ลั่นขอทำงานชิ้นสุดท้าย หากได้เป็นนายกฯขอแค่สมัยเดียว เมิน “เพื่อไทย” หมายหัวเป็นศัตรู ย้ำไม่ขอทะเลาะกับใคร “โภคิน” ชูปลดล็อกอำนาจนิยม ให้ ปชช.เลือกตั้งสภาร่างรัธรรมนูญ รื้อ กม.สูงสุด ปลดปล่อย ปชช.จากรัฐราชการ
วันนี้ (17 ก.ย.) ที่ห้องบอลรูม A ชั้น 7 โรงแรมเวสติน แกรนด์ สุขุมวิท กทม. พรรคไทยสร้างไทย ได้จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “ร่วมปลดล็อกความขัดแย้งกับไทยสร้างไทย” โดยมีนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (SMEs) ที่มาเข้าร่วมรับฟัง
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวตอนหนึ่งถึงปณิธานของพรรคไทยสร้างไทย ว่า เป็นการสร้างสถาบันการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ เพื่อส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานของเรา เป็นพรรคที่มาสร้างโอกาส ไม่ได้มาสร้างวิกฤต โดยการปลดล็อก เปลี่ยนประเทศ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เพื่อให้คนไทยหายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน เพราะความขัดแย้งทางการเมือง ได้ทำให้ประเทศติดหล่ม ติดกับดักขั้วอำนาจทางการเมืองที่ต่อสู้กันไปมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมานานกว่า 16 ปี และยังนำมาซึ่งระบบรัฐราชการที่กดทับประชาชน และเอื้อประโยชน์ให้กับเผด็จการ และนักประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม สร้างกฎเกณฑ์ และกฎหมาย จนพี่น้องประชาชนไม่สามารถทำมาหากินได้อย่างสะดวก คนรุ่นใหม่ท้อแท้สิ้นหวัง และคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นอนาคตของตนและประเทศ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า จากการทำงานทางการเมืองกว่า 31 ปี ไม่เคยเห็นสมัยไหนที่คนจะทุกข์ยากเหมือนตอนนี้ เวลาลงพื้นที่เห็นคนมีปัญหา แม้ตั้งใจเกษียณอายุทางการเมืองตอนอายุ 60 แต่พอเห็นความทุกข์ประชาชน ก็ไม่อยากเอาสบายใส่ตัว แล้วปล่อยคนอื่นทุกข์ ดิฉันและผู้อาวุโสที่มาร่วมมือกันจึงตัดสินใจร่วมกันตั้งพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นความมุ่งมั่นตั้งใจของดิฉัน และพรรคไทยสร้างไทย คือการแบกเอาความทุกข์ และความคาดหวังของพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นกองหน้าสู้เพื่อคนตัวเล็กที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงขออาสาใช้ประสบการณ์ 30 ปี มาสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เป็นพรรคของคนตัวเล็ก ที่ไม่ทะเลาะกับใคร และมองใครเป็นศัตรู ขอเป็นเสาเข็ม และสะพานเชื่อมคนทุกช่วงวัย เพื่อวางรากฐานให้กับพรรคไทยสร้างไทย และประเทศไทย
“วันนี้เราขออาสาเป็นแนวหน้าที่จะรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนประเทศ ดิฉันขออาสาใช้ประสบการณ์ 30 ปี ที่รับใช้ประชาชนมา มาทำงานชิ้นสุดท้าย สร้างพรรคคนตัวเล็กที่คนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่แท้จริงมาเปลี่ยนประเทศให้สำเร็จ เราอาสารำเชิดหน้ากลองยาวก่อน เป็นเสาเข็มที่ชื่อว่าประเทศไทย ดึงคนเก่งคนดีเข้ามาเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้น วันนี้ทำงานชิ้นสุดท้ายเพื่อคนรุ่นต่อไป ขอย้ำว่า ไม่ต้องการตำแหน่ง แต่ถ้าเราช่วยกันจนสำเร็จแล้วดิฉันต้องไปทำงานเป็นผู้นำรัฐบาล ก็ขอทำแค่สมัยเดียว ไม่ต้องให้ใครมาตีความ” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า การเมืองสองขั้วใหญ่ที่มุ่งแต่มองผลประโยชน์ตัวเอง ประเทศเดินต่อไม่ได้ เป็นมาอย่างนี้มา 16 ปี ขอให้จบที่ยุคนี้ พอแล้วการทะเลาะเบาะแว้งกัน เราไม่มองใครเป็นศัตรู ทุกพรรคก็มีส่วนดีในการอยากช่วยบ้านเมือง ส่วนเสียประชาชนมองเอง วันนี้ตนกำลังแข่งกับตัวเองให้ประชาชนฝากความหวังได้ ให้ประชาชนมั่นใจว่าเราจะนำพาประเทศให้เดินหน้าต่อได้ ก้มหน้าทำข้อสอบไม่ทะเลาะกับใคร เราทะเลาะมามากพอแล้ว ขอพิสูจน์ตัวเองให้ดีที่สุด ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง และต้องไม่เป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ต้องไม่สร้างวาทกรรมให้คนเกลียดกัน เรายึดหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต่อต้านการรัฐประหาร รับฟังความเห็นต่างอย่างมีเหตุผล คือ จุดยืนของเราไม่แย่งผลประโยชน์กับใคร
“เราจะปลดล็อกประเทศเริ่มจากปลดล็อกความขัดแย้งของบ้านเมือง เมื่อปลดล็อกแล้วเราจะพูดว่าหารายได้จากไหน ไม่ใช่ประชารัฐประชานิยม แล้วจะพูดการดูแลคุณภาพชีวิตต้องแต่เกิดจนแก่ สร้างโอกาสให้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่สร้างวิกฤต และต้องจบยุคการเมืองสองขั้วเราคือความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ” หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว
ด้าน นายโภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวเสริมว่า หัวใจหลักของความขัดแย้งทางการเมือง คือวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม ที่กดทับการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ดังนั้น การออกจากความขัดแย้ง คือจำเป็นต้องปลดล็อกการคืนอำนาจให้ประชาชนทุกคนได้ตัดสินใจอนาคตของตนและประเทศชาติได้ด้วยตัวเอง ภายใต้กติกาที่เสรี เป็นธรรม และไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นอีก พรรคไทยสร้างไทยจึงขอผลักดันมุ่งเสนอให้ปลดล็อกประชาชนออกจากรัฐธรรมนูญ 2560 และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีบทบัญญัติบางประการที่ทำให้คนล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฏ และต้องรับโทษทัณฑ์ที่ย่ำยีอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย โดยถือว่าการนิรโทษกรรมการรัฐประหารไม่ว่าจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดโดยผู้ทำรัฐประหารย่อมไม่มีผล และให้ถือว่าประชาชนคนไทยทุกคนเป็นผู้เสียหายเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้น
“ส่วนการปลดล็อกประชาชนออกจากอุปสรรคในการทำมาหากิน และการทุจริตคอร์รัปชัน ด้วยเป้าหมายของพรรคไทยสร้างไทยที่ต้องการแก้ไขระบบรัฐราชการอย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าต้องปลดปล่อย หรือ Liberate ประชาชนจากพันธนาการของรัฐราชการ และสร้างอำนาจ หรือ Empower ให้กับประชาชนโดยเฉพาะคนตัวเล็ก ในการรวมตัวกันเพื่อให้เกิดพลังต่อรองกับตลาด และกำหนดแนวทางให้รัฐราชการปฏิบัติ เพื่อตอบสนองต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของพวกเขาบนพื้นฐานที่ว่าประชาชนต้องการทำมาหากินโดยสุจริตและยั่งยืน” นายโภคิน ระบุ
จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สิ่งที่จะปลดล็อกความขัดแย้งทางการเมือง 16 ปี ที่ผ่านมา ประการแรก ต้อง คืนอำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชนซึ่งเราได้ร่างกฎหมายดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ที่สำคัญจะระบุไว้ในร่างแก้ไขว่า การรัฐประหารถือเป็นการล้มล้างการปกครอง การฉีกรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกบฏ ต้องได้รับโทษสูงสุด รวมถึงการให้พรรคการเมืองรับฟังความเห็นต่างด้วยเหตุผล ไม่สร้างความเกลียดชังเพิ่ม ไม่ใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน ในการเลือกตั้ง ที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมและนำไปสู่ความขัดแย้งอีก
เมื่อถามถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศเป็นศัตรูกับพรรคที่อ้างเป็นพรรคพี่พรรคน้อง แต่ไม่ได้ระบุว่าชื่อพรรคอะไร แต่สังคมมองว่า น่าจะหมายถึงพรรคไทยสร้างไทย นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หากกล้าประกาศเป็นศัตรู ก็ควรต้องระบุว่าเป็นพรรคไหน ที่สื่อถามว่าบางคนตีความว่าเป็นพรรคไทยสร้างไทยนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราไม่มุ่งทะเลาะกับใคร เราก้าวข้ามเขาไปนานแล้ว และอโหสิกรรมไปแล้วสำหรับตัวเอง วันนี้อยากให้คิดบนโลกความเป็นจริง หากเราไปอ้างเขา แล้วเรามาสร้างพรรคใหม่เช่นนี้ใครจะเลือกเรา
“ปัญหาของเราคือให้คนรู้ว่า สุดารัตน์ มาสร้างพรรคไทยสร้างไทย ให้เป็นทางรอดและทางออกของประเทศ เราไม่ติดกับอดีต เราก้าวข้ามมาแล้ว ยืนยันไม่เป็นศัตรูกับใคร ถ้าเขาคิดเป็นศัตรูกับเรา ก็แล้วแต่เขา แต่เราไม่มองใครเป็นศัตรูโดยเฉพาะฝั่งประชาธิปไตยเหมือนกัน แค่นี้ยังไม่ชนะปืน ชนะเผด็จการเลย แล้วยังตีกันอีก เพื่อให้เผด็จการอยู่ต่อก็เชิญ คิดไปฝั่งเดียว เราไม่คิดอย่างนั้นแน่นอน” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว